ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน มีผลแค่ไหนกับกำไรขาดทุน
...คลิกที่ภาพ เพื่อดูภาพขยายใหญ่...
ค่าแรง 300 บาท ทะลวง ผ่าน สังคมไทย จาก "เพื่อไทย"
By:
ข่าวสดรายวัน
วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7536
ไม่มีนโยบายอะไรที่จะ "ยั่ว" ให้ "แย้ง" ได้อย่างแหลมคม เท่ากับนโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ของพรรคเพื่อไทย
ยั่วให้แย้งแล้วเปิด "หน้า" ออกมาให้ได้เห็น
การออกมา "ต้าน" นโยบายนี้ผ่านผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผ่านผู้บริหารหอการค้าแห่งประเทศไทย
มิได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
เช่นเดียวกับ การออกมา "ต้าน" นโยบายนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นระดับหัวแถวอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะเป็นระดับหางแถวอย่าง นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ
ก็มิได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย
เด่นชัดยิ่งว่าพรรคประชาธิปัตย์ร้องเพลงเดียวกันกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร้องเพลงเดียวกันกับหอการค้าแห่งประเทศไทย
เป็นเพลงของ "นายจ้าง" อันอยู่ตรงกันข้ามกับ "ลูกจ้าง"
ถามว่ามีลูกจ้างคนใดออกมาต่อต้าน ไม่เห็นด้วย กับการเสนอนโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันบ้าง
ไม่มี
ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากสภาลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย
ล้วนเห็นด้วย
"การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททำให้คุณภาพชีวิตของแรงงานดีขึ้น เพราะปัจจุบันค่าครองชีพเพิ่มขึ้นค่าแรงปัจจุบันในกทม. 215 บาทต่อวัน ไม่เพียงพอ" เป็นการสำนองรับจากคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.)
นี่ย่อมสวนทางอย่างสิ้นเชิงจากกระแสต้านจาก "นายจ้าง" และพรรคการเมืองของ "นายจ้าง"
นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จึงไม่เพียงแต่ทำให้พรรคเพื่อไทยยืนอยู่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับพรรคประชาธิปัตย์
หากแต่ยืนอยู่คนละฝ่ายกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
หากแต่ยืนอยู่คนละฝ่ายกับหอการค้าแห่งประเทศไทย
พรรคเพื่อไทยจึงเป็นพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่าย "ลูกจ้าง" ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ไม่ว่าจะเป็นสภาลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยก็ตาม
พรรคเพื่อไทยเห็นใจ "ลูกจ้าง" พรรคประชาธิปัตย์เห็นใจ "นายจ้าง"
เพียงโยนประเด็น 300 บาทเข้ามา ภาพของสังคมไทยก็ปรากฏชัด ณ เบื้องหน้าประชาชน
เป็นสังคมไทยที่คนส่วนหนึ่งมั่งคั่งด้วยทรัพย์ศฤงคาร เป็นสังคมไทยที่คนส่วนใหญ่อยู่อย่างลำบากยากไร้
เป็นภาพของ "นายจ้าง" เปรียบเทียบกับภาพ ของ "ลูกจ้าง"
เพราะพวกเอ็งนั่นแหละฮ้า...ที่ทำให้ค่าแรงต้องกระโดดจาก 215 เป็น 300
By: นางฟ้านะยะ
ในสายตาพวกแมลงสาป คนที่ตั้งท่าจะค้าน ยังไงก็หาเรื่องค้านได้อยู่แล้ว
ทั้งๆที่คุณปู ยังไม่ได้เป็น สส. ด้วยซ้ำ นโยบายจะทำอย่างไรก็ยังไม่ได้ฟัง...ก็บอกว่าทำไม่ได้เอาไว้ก่อน
ถึงแม้คุณปู จะเริ่มทำในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆก่อน...ก็จะบอกว่า ต่างจังหวัดก็ยังไม่ได้
ถึงแม้คุณปูจะทำทั้งทั่วประเทศได้...ก็จะบอกว่าแรงงานต่างด้าวยังไม่ได้ ทั้งๆที่เขากำหนดให้เฉพาะคนไทยเท่านั้น
ถึงแม้คุณปูจะทำทั้งประเทศได้...ก็จะบอกว่าแรงงานที่นายจ้างมีที่พักให้และมีค่าอาหารให้นั้นยังไม่ได้ ทั้งๆที่เขากำหนดให้เฉพาะแรงงานที่ไม่ได้รับการดูแลในเรื่องอาหารและที่พัก
ถึงแม้คุณปูจะทำทั้งประเทศได้...ก็จะบอกว่ายังมีขอทานบางคนก็ยังไม่ได้
ถึงแม้คุณปูจะทำให้ขอทานยังมีรายได้วันละ 300 บาท...ก็จะบอกว่าขอทานต้องขอทั้งวันถึงจะได้ 300 เกินเวลาทำงาน
คนเรามันจะค้าน มันก็ค้านไปเรื่อยๆได้แหละ...
แต่พอถามถึงค่าครองชีพที่สูงในตอนนี้ หากยังคงได้ค่าแรงแค่วันละ 215 บาท คุณจะอยู่อย่างไร ก็ไม่มีใครตอบได้สักคน วันๆได้แต่ตั้งกระทู้เอาเสียงบ่นของนายจ้างมาโวยวาย
ที่ค่าแรงต้องสูงกระโดดจาก 215 เป็น 300 ในคราวเดียวนั้น ความจริงก็เพราะพรรค ปชป. นี่แหละ 2 ปีกว่าๆที่ผ่านมาบริหารประเทศไม่ดี ทำให้ค่าครองชีพราคาสูงขึ้น
น้ำมันสัญญาเอาไว้บอกว่าจะลด มันก็เก็บภาษีเสียสูงลิ่ว
แม้ดีเซลจะตรึงราคาได้ แต่คนที่ใช้ชีวิตประจำวันอีกมากก็ต้องใช้น้ำมันเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางอยู่ดี ราคาเบนซินแพงกว่ายุคนายกฯสมชายทั้งๆที่ค่าเงินบาทตอนนั้นอ่อนกว่านี้ และราคาน้ำมันดิบก็แพงกว่าตอนนี้ด้วยซ้ำ
น้ำมันพืชควรจะลด ก็ไม่ยอมลด
ทั้งๆที่ราคาปาล์มดิบร่วงลงมาแล้ว มันก็ดึงอยู่นั่นแหละ จนเพิ่งจะเริ่มลดในวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมานี้เอง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เป็นคนสะเพร่าหรือจงใจก็ไม่รู้แต่เป็นความผิดพลาดในการทำงานของรัฐบาลแมลงสาป ที่ทำให้ราคาน้ำมันจากลิตรละ 28 บาท ต้องขึ้นราคาคราวเดียว 19 บาทและยังหาสินค้าไม่ได้ บางคนต้องซื้อถึงลิตรละ 50-60บาทก็มี
ราคาข้าวสารถุงควรจะลดก็ไม่ยอมลด
ทั้งๆที่ชาวนาขายข้าวได้เกวียนละไม่ถึงหมื่น ราคาประกันก็แค่หมื่นเดียว แต่ราคาข้าวสารถุงละ 5 กิโล ยังมีราคาเท่ากับตอนที่นายกฯสมชาย ทั้งๆที่ช่วงนั้นข้าวเปลือกมีราคาตันละ 15,000 บาท ปล่อยให้พ่อค้าฟันกำไรโดยไม่เคยดูแล
ไข่ไก่ก็แก้ปัญหาอย่างปัญญาอ่อน ที่คิดจะขายแบบชั่งกิโล
ผลปรากฏว่า เสียเงินไปฟรีๆ 69 ล้านบาท โดยที่ไข่ไก่ยุคนายมาร์คทำราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย แต่รัฐบาลมันก็นิ่งเฉย รอแต่ว่าการขายไข่ชั่งกิโลจะช่วยให้ราคามันลงมาเองได้
เนื้อหมูเนื้อไก่ ก็ขึ้นราคาเกือบ 50%
โดยเฉพาะเนื้อไก่ เคยซื้อได้ในราคาไม่ถึง 60 บาทต่อกิโล แต่ตอนนี้ราคาพุ่งไปเกือบ 100 บาทเข้าไปแล้ว ราคาเนื้อหมูก็เช่นกัน จากกิโลละ 110 กลายเป็น 150 ภายในเวลาไม่นาน
ห้างสรรพสินค้าไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลาย ก็จัดรายการกันน้อยมาก ไม่เหมือนยุคทักษิณที่ปล่อยให้พ่อค้ามีการแข่งขันลดราคากัน เพื่อแย่งลูกค้า ทำให้ผู้บริโภคได้เปรียบ
รัฐบาลที่ดีนั้น หากสินค้าใดมีราคาสูงหรือขาดแคลน รัฐบาลก็จะรีบจัดหาสินค้าราคาถูกมาจำหน่าย เพื่อลดภาระความเดือดร้อนของประชาชน ทำให้พ่อค้าไม่กล้าขึ้นราคาสินค้า
แต่รัฐบาลนายมาร์ค กลับปล่อยให้พ่อค้าประโคมข่าวหลอกชาวบ้านได้ทุกวัน เดี๋ยวข้าวสารจะขาดตลาด เดี๋ยวน้ำตาลจะขาดแคลน เดี๋ยวน้ำมันจะขึ้นราคา มั่วกันไปหมด
มีรัฐบาลที่เอาใจแต่นายทุน กลัวนายทุนจะขาดทุนกำไรแบบนี้ ค่าครองชีพมันเลยพุ่งปรี๊ด จนทำให้ค่าแรงเท่าเดิมนั้นไม่สามารถอยู่รอดได้ เพราะราคาสินค้าขึ้นกันหมดทุกตัว ทั้งๆที่เป็นสินค้าที่เราผลิตเองได้และส่งออกอย่างน้ำมันปาล์มก็ยังมีปัญหา
ดังนั้น ที่ค่าแรงต้องขึ้นมาเป็น 300 บาท ก็เพราะ 2 ปีกว่าๆที่ผ่านมา รัฐบาลนายมาร์คไม่เคยสนใจในการควบคุมดูแลราคาสินค้า ปล่อยให้ขึ้นตามใจชอบ กลัวแต่พ่อค้าที่ขู่ว่าจะไม่มีสินค้าในตลาด โดยไม่หาวิธีอื่นมาแก้ไข
ส่วนนายมาร์คนั้นไม่ต้องไปพูดถึง วันๆเอาแต่เกาะโพเดียม บ้าน้ำลายปาฐกถาทั้งวัน มาร์คจะรู้ไหมว่า แม้แต่ไข่ดาวยุคที่มาร์คบริหารประเทศ เขาขายกันใบละ 10 บาทแล้ว
ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกตัวแบบนี้ ก็เพราะเรามีรัฐบาลห่วยๆมา 2 ปีกว่าๆนี่แหละนะฮ้า
เพื่อยุติปัญหาแตกแยกในสังคม...ใครชอบใครก็ว่ากันไป จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน...คนชอบกันมาอยู่ด้วยกันมันมีแต่รอยยิ้ม...คนเหนือคนอีสานเขาชอบพรรคเพื่อไทยก็ให้เพื่อไทยมาบริหาร...ส่วนคนใต้+กรุงเทพฯชอบพรรคปชป.ก็เชิญปชป.บริหารไป แบ่งเขตกันเลย...ดูซิว่าใครจะเจริญกว่ากัน...เอาไหม??...เอาไหม??