PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

111 สงครามชีวิต โอชิน (ตอน57) 1/2 ถึง (ตอน163) 3/3จบ

สงครามชีวิต โอชิน (ตอน57) 1/2 ถึง (ตอน81) 2/2


สงครามชีวิต โอชิน (ตอน82) 1/2 ถึง (ตอน106) 2/2


สงครามชีวิต โอชิน (ตอน107) 1/2 ถึง (ตอน131) 1/3


สงครามชีวิต โอชิน (ตอน131) 2/3 ถึง (ตอน148) 3/3


สงครามชีวิต โอชิน (ตอน149) 1/3 ถึง (ตอน163) 3/3จบ

66 ข้ออ้างของคนที่ไม่อยากเห็นความเจริญคือคำว่า"ทำไม่ได้"

รายนามนายกรัฐมนตรีหญิงของโลก คลิกที่นี่...


กองทุนหมู่บ้านเป็นหนึ่งในหลายๆเรื่องที่ทั่วโลกดีใจและประหลาดใจว่าประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น
งานสังคมสงเคราะห์ทั่วโลกคงงงกับการทำงานปกครองที่ทำให้ประชาชนกินอิ่มนอนอุ่น...

By: Bugbunny

เห็นด้วยครับ ผมพบตัวอย่างหนึ่งอยากมาเล่าสู่กันฟัง...

ครอบครัวหนึ่งพ่อกับแม่ต้องออกไปรับจ้างรายวันในจังหวัดอื่นๆ ลูกตัวเล็กไม่ถึงขวบ ยายต้องเลี้ยงไว้อีกจังหวัดหนึ่ง

มีกองทุนหมู่บ้านละหนึ่งล้านบาทออกมาในสมัยคุณทักษิณเป็นนายกฯ

เขาไปขอกู้เพียงสองพันบาท (เขากู้แค่สองพันบาทเท่านั้นนะครับ แต่จริงๆกู้ได้มากกว่านี้)

ไม่ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งเป็นขวากหนามใหญ่ในการเข้าถึงทุนของคนจน

มีเพียงเพื่อนอีกสองสามคนเซ็นค้ำประกันกันไปมาในการกู้ก็กู้ได้แล้ว

จากเงินสองพันบาทนั้น เขาตั้งร้านอาหารตามสั่งในชุมชน

ชำระหนี้หมดก็ไปกู้เพิ่มได้อีก และยังสามารถนำรายได้ของตนไปฝากกับกองทุนได้ด้วย

มันก็คือธนาคารประชาชนนั่นแหละครับ และเขาตั้งใจจะพัฒนาให้เป็นอย่างนั้น

วันนี้พ่อแม่ลูกและยายอยู่ด้วยกัน ช่วยกันทำมาหากิน

เขาหลุดจากภาวะบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะกองทุนหมู่บ้าน

และกองทุนหมู่บ้านวันนี้มีหนี้เสียแทบจะเป็นศูนย์ เพราะคนจนไม่โกง เนื่องจากกลัวที่สุดหากจะถูกคนในหมู่บ้านนินทา

หลายแห่งจากหนึ่งล้านบาทขยายเป็นหลายล้านบาท เพราะมีเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้สมทบจนกองทุนเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำ

เราหวังจะเห็นกองทุนหมู่บ้านพัฒนาไปเป็นธนาคารประชาชนให้ได้

ขอชื่นชมกองทุนหมู่บ้านอย่างสูง

ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน มีผลแค่ไหนกับกำไรขาดทุน

ข้ออ้างของคนที่ไม่อยากเห็นความเจริญคือคำว่า"ทำไม่ได้"
By: นางฟ้านะยะ

ทุกวันนี้ที่เรามีเครื่องบินใช้สำหรับการเดินทางได้เร็วขึ้น ก็เพราะสองพี่น้องตระกูลไร้ท์เชื่อว่า เราทำได้

ประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถส่งยานกระสวยอวกาศไปสำรวจชั้นบรรยากาศนอกโลกได้ ก็เพราะเชื่อว่า เราทำได้

ประเทศจีนสามารถทำให้นักลงทุนสนใจมาลงทุนในประเทศที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ จนมีความเจริญเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง 40 ปีเท่านั้น ก็เพราะเติ้งเสี่ยวผิงเชื่อว่า เราทำได้

เยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออกสามารถรวมประเทศเข้าด้วยกัน ทั้งๆที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างกันมาก จนเยอรมันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ก็เพราะผู้นำเขาเชื่อว่า เราทำได้

การพัฒนาประเทศหรือสิ่งต่างๆในโลกเรานั้นด้วยวิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้าทุกครั้ง ก็จะมีคนที่คัดค้านอยู่ทุกทีไป ก็เพราะบางคนนั้นมีโลกทัศน์ที่แคบ มองไม่เห็นผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า จึงมักจะใช้ข้ออ้างอย่างง่ายๆว่า มันทำไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยนั้น เราถูกสร้างความเข้าใจผิดๆมาโดยตลอด ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ประเทศอื่นแซงเราไปได้ ก็เพราะนักวิชาการมักจะอ้างว่า เราทำไม่ได้

ค่าแรงวันละ 300 บาททำไม่ได้...

เด็กนักเรียนประถมศึกษาถือ tablet แทนถือหนังสือไปโรงเรียนนั้นทำไม่ได้...

ทั้งๆที่เราจะสร้างรถไฟใต้ดิน นักวิชาการไทยก็บอกว่าดินกรุงเทพฯนั้นอ่อน สร้างแล้วจะทรุดน้ำจะท่วม เราทำไม่ได้...

ทั้งๆที่เราจะสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ นักวิชาการไทยก็บอกว่าพื้นที่นั้นเป็นหนองน้ำ สร้างแล้วจะพัง เราทำไม่ได้...

และนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นโครงการที่ใช้เงินมหาศาล รัฐบาลไม่สามารถหาเงินมาอุดหนุนโครงการนี้ได้แน่นอน เราทำไม่ได้...

แต่ทุกวันนี้ ทำไมกรุงเทพฯมีรถไฟใต้ดินเปิดบริการ มีสนามบินสุวรรณภูมิเป็นที่เชิดหน้าชูตา มีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเพื่อช่วยเหลือประชาชนคนยากจน จนถึงเดี๋ยวนี้ได้

คำว่า"ทำไม่ได้" จึงเป็นคำพูดที่ฮิตติดปากของคนที่คอยขัดขวางความเจริญ ขัดขวางการพัฒนาของประเทศไทยจนถึงเดี๋ยวนี้

อย่าใช้คำมักง่ายสั้นๆว่า "ทำไม่ได้" มาถ่วงความเจริญของประเทศไทยอีกเลยนะฮ้า


...คลิกที่ภาพ เพื่อดูภาพขยายใหญ่...



By: คนเมืองสุรินทร์

เมื่อวานนี้ไปสุรินทร์กับศรีสะเกษ แวะเยี่ยมไปเรื่อย...

ไปคุยกับเพื่อนพ่อค้าด้วยกัน...ก็ไม่แคล้วเรื่องการเมืองบ้างพอเป็นกระสาย...

คุยไปคุยมาก็วกเลี้ยวปร๊าดมาเรื่องค่าแรง 300 บาท เพื่อนบอกว่า ถ้าจ่ายค่าแรงขนาดนั้น ธุรกิจไม่รอดแน่ๆ

ผมหัวเราะถามเค้าว่า...ถามหน่อยเถอะ ทุกวันนี้ ให้ใช้วันละ 200 บาท (ขนาดไม่ยกแค่ 150 บาทเท่าคนแก่สมองเลอะ) คุณว่าจะเหลือสักกี่บาท...??? หักค่ากิน...ค่าเสื้อผ้า...ค่าเดินทาง...ค่าเช่าบ้าน...ค่าสบู่ยาสีฟัน...ถามหน่อยมันเหลือสักกี่บาท...???

เพื่อนอึกๆอักๆตอบไม่ถูก

ผมบอกว่า...ผมเชื่อเรื่องทุกธุรกิจต้องการลูกน้องที่ทำงานดีและเชี่ยวชาญ ถ้าเราจ้างถูกๆ ค่าแรงไม่พอใช้อยู่ไม่นานก็ออก แถมมีปัญหาติดตามมาสารพัด

ผมคิดว่า...ถ้าคนเรามีเงินใช้พอ มีความสุข เค้าไม่ออกไปไหนหรอกครับ ถ้ารายได้ดีเค้าก็ต้องรักงาน ตั้งใจทำงาน งานออกมาก็ดี ที่สำคัญ เงินที่เราจ่ายไป ก็จะออกมาหมุนในตลาด สร้างเงินสร้างงาน ทำให้เศรษฐกิจฟูฟ่อง...ที่ย่ำแย่ตกสะเก็ดแบบทุกวันนี้ ก็หายไป

เพื่อนคนนั้นฟังๆก็พยักหน้าหงึกๆ บอกว่า ก็เป็นไปได้

ผมบอกเพื่อนต่อไปว่า...อย่าพึ่งเป็นทุกข์กับมันเลย รอรัฐบาลเค้าทำงานก่อน ดีไม๊..???

รัฐบาลเค้าคงไม่โง่ที่มาทำให้ธุรกิจทั่วประเทศเจ๊งหรอกครับ....????

Playlist...วิสัยทัศน์ผู้นำประเทศที่แท้จริง...





สาวแกร่งแห่ง"กองร้อยน้ำหวาน" บอดี้การ์ดผู้เคียงข้าง"ยิ่งลักษณ์"
คลิกที่นี่...ดูภาพวิธีการฝึก

หลายวันมานี้ เราจะได้เห็น"หญิงสาว"หน้าตาหวานบ้าง คมเข้มบ้าง แต่พวกเธอมีบุคลิกเดียวกันคือ ท่าทางทะมัดทะแมง ยืนประกบขวาซ้ายระวังหลัง"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย พร้อมสอดส่ายสายตาอย่างระแวดระวัง เพื่อหาสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

ถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกตาอยู่บ้าง ที่เราไม่เคยเห็นทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็น "ผู้หญิง" หลายคนคงสงสัยพวกเธอเหล่านี้มาจากไหน

พวกเธอเป็นตำรวจหญิงจาก"กองร้อยน้ำหวาน"หรือ"กองร้อยปราบจลาจลหญิง กองกำกับการควบคุมฝูงชน 1" ซึ่งคัดเลือกหัวกะทิจากการเปิดรับสมัครบุคคลภายนอก ซึ่งกำหนดคุณสมบัติต้องจบปริญญาตรี และมีอายุไม่เกิน 25 ปี

คัดเลือกกลุ่มที่ดีที่สุด สู่ขั้นตอนการอบรมยุทธวิธีอย่างหนักมากกว่า 3 เดือน เฉกเช่นเดียวกับหลักสูตรตำรวจปราบจลาจลชายอกสามศอก หากผ่านไปได้จะรับการบรรจุประจำการ รอคำสั่งให้ออกทำงาน แต่ระหว่างนี้พวกเธอยังต้องถูกเรียกฝึกอบรมยุทธวิธีอยู่เป็นระยะ

เรียกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะก้าวมาเป็นสาวหนึ่งใน"กองร้อยน้ำหวาน" และยิ่งไม่ง่ายที่จะได้เป็นสาวแกร่งยืนประกบ"ยิ่งลักษณ์"ว่าที่นายกฯสาวคนแรกของไทย

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

65 ขอแสดงความยินดีกับคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยคนที่ 28 และนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 52 ของโลก

รายนามนายกรัฐมนตรีหญิงของโลก คลิกที่นี่...

เรียน คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากแควนๆ IF & Prachatalk

khongmear: วิธีการพาคุณทักษิณกลับบ้านที่ดีที่มีประสิทธิผลที่สุด ก็คือ ทำงานให้ดีให้หนักที่สุดครับ ถ้าคุณยิ่งลักษณ์มีผลงานมากเท่าไหร่ ดีเท่าไหร่ ทุกๆอย่างก็จะดีขึ้นง่ายขึ้น แรงต่อต้านก็จะน้อยลง คนที่เคยต่อต้านพวกนี้นี่แหละครับจะเป็นคนพากลับมาเอง ขอให้อดทน ทำงานให้ดีที่สุด ยิ่งทำผลงานได้ดีได้เร็วเท่าไหร่ คุณทักษิณก็จะได้กลับมาเร็วเท่านั้น

เฮียหนวด: ถูกต้องครับ ทำงานให้เกิดผลประโยชน์ที่สุด แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองครับ แล้วบอกพวกคนข้างๆคุณยิ่งลักษณ์ด้วยนะ ให้เพลาๆเรื่องคุณทักษิณลงก่อนช่วงนี้ ทำงานแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลอั้ยมาร์คมันทำไว้ก่อนนะครับ

เลือด Gu สีแดง: เห็นด้วยเลย แล้วอย่าพึ่งเอาประเด็นนี้มาเล่น เพราะเชื่อว่าพวกเอี้ยคงกัดไม่ปล่อย

this is thailand: เห็นด้วยที่สุด

ฉอรมน: ทำงานให้เต็มที่ ให้ประชาชนเห็นผลงาน แล้วสิ่งที่เราต้องการ จะได้มาโดยมิต้องเรียกร้อง

บุรุษไร้นาม: ทำงานให้ดีที่สุดให้ประชาชนเห็นความแตกต่างระหว่างนรกกับสวรรค์ จากนั้นยุบสภา

สายลมรัก: ดูวิธีการทำงานของไทยรักไทย สัญญาอะไรไว้ก็ทำแบบนั้น อย่าอ้างว่า บริบท เปลี่ยนไป เป็นอันขาด ทำไปก่อน ดีหรือไม่ดีค่อยว่ากัน เมื่อนั้นประชาชนจะเชื่อว่า ท่านทำจริง ครั้งต่อไปรับรอง แลนสไลด์

หวัดดีจ้ะ..ฉิงฉิง: เห็นด้วยที่สุด อย่าเพิ่งไปตีปี๊บเรื่องนิรโทษ เอาทักษิณกลับบ้าน ทำงานไปก่อน เพราะเราเลือกท่านมาทำงาน วันนึงเมื่ออะไรมันเปิดเผย เผลอๆ ไม่ต้องออกแรง ก็จะมีคนเชิญกลับเข้ามาเองแหละ

kasin: เห็นด้วยครับ//แต่อย่าทำให้รอนานมากนะครับ อยากให้ท่านมาค้างที่กาฬสินธุ์ไวๆ แหะๆ

Ningning: ทำงานแล้ว ก็โฆษณาด้วยนะคะ อย่าเก็บเงียบไว้แบบคุณทักษิณ อะไรที่จะเป็นประเด็น ข้อขัดแย้ง จนพวกกุ๊ยเหลืองออกมา เช่นจะกลับเข้าเป็น สมาชิกภาคีมรดกโลก ก็ทำประชามติเลยนะคะ ทำทุกอาทิตย์เลยก็ได้ ว่างไปโหวตให้ค่ะ

หวัดดีจ้ะ..ฉิงฉิง: อย่าลืมนะคะ ว่า ให้ทำไป บอกไป จัดรายการทุกอาทิตย์เลยก็ดี เปิดแถลงข่าวกับนักข่าวจากทำเนียบ อาทิตย์ละ 2 ครั้ง เลยก็ได้ อังคาร พฤหัส ไรงี้ มีไรต้องพูด มีอะไรต้องบอก ต้องชี้แจง

เห็ดหอม: เอา รายการ "ไร้ความเชื่อมั่นประเทศไทยฯ" ออกไป แล้วใส่รายการ "นายกฯหญิง ไม่สั่งยิงประชาชน" เอ๊ยยย ..."นายกฯหญิง คุยกับประชาชน" แทน

ตาย่าน: ก่อนจะทำงาน สำรวจผลเสียหายรายการหนี้สินต่างๆที่มีอยู่ก่อนเป็นรัฐบาล แถลงการณ์ให้เป็นเรื่องเป็นราวซะก่อน แล้วค่อยทำงาน

มังกรดำ: ดีแล้ว น้ำท่วมบ้าน พอน้ำลด สิ่งแรก คือ เก็บกวาดขยะ สำรวจความเสียหาย จะได้รู้ว่า จะสร้าง จะซ่อมอะไรตรงไหน เรื่องพวกนี้ รายละเอียด ชาวบ้านอย่างพวกเราต้องรู้ด้วย ต้องบอกให้รู้

ios: สนับสนุนๆๆ เห็นด้วยๆๆ สมัยทักษิณทำน้อยเกินไป ถึงไม่ได้ยินเลย บ้านเมืองมีสื่อเสี้ยมเยอะ ไอ้ที่กลับข้างทันควันอย่างน่าเกลียดก็อย่าไว้วางใจมัน สารเลว

TAN007: แจงให้ประชาชนทราบทางทีวีพลูไปเลยว่า ปชป. สร้างหนี้อะไรไว้บ้าง จำนวนเท่าใด ประชาชนจะได้รู้ว่าท่านเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาของเน่าๆ ที่ ปชป. ทำไว้ครับ ท่านจะได้ใจประชาชนในการทำงานมากขึ้น

สายฟ้า: ใช่ครับ เด้วมันจะหาเรื่องโยนขี้ใส่ ทั้งๆที่เป็นขี้ของมันที่ทิ้งเอาไว้

sarapaheylo: สาระพาอยากเห็นคนนอกที่มีความสามารถ มีชื่อเสียงเข้ามาร่วมงานบริหารประเทศ รายชื่อคณะรัฐมนตรีนั้น เจียรไนให้ดีๆ อย่าให้เป็นเพียงรางวัลแก่ผู้ใด รางวัลที่ทุกคนได้รับร่วมกันก็คือชัยชนะในสนามเลือกตั้งนะคะ ภาคประชาชนก็เหนื่อย และอยากเห็นศักยภาพของรัฐบาลที่มุ่งมั่นทำงาน การทำงานอย่างมืออาชีพ ผู้ใดเหมาะกับงานใด ก็ขอให้คนนั้นได้เข้ามาทำ ไม่อยากเห็นตำแหน่งทางการเมืองกลายเป็นรางวี่รางวัลให้กับใครบางคนนะคะ

ขอให้ทุกคนมีจิตใจที่เห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด และขอให้เลือกเส้นทางของคนดี คือคิดดี ทำดี ด้วยความจริงใจ ความอดทนอย่างสูงสุด จะเป็นเกราะคุ้มครองให้พวกท่านพ้นทางลำบากนี้ ที่สำคัญรอยยิ้ม และอารมณ์ขันคือเอกลักษณ์ของความเป็นไทย นำมันกลับมาให้คนไทยทั้งประเทศอีกครั้งนะคะ

ดอกไม้หอม: เห็นด้วยกับคุณสาระพาค่ะ ก่อนอื่นทุกๆฝ่ายต้องรู้จักคำว่าเสียสละเพื่อชาติ เพื่อให้บ้านเมืองได้รับการฟื้นฟู ให้ประชาชนได้อยู่ดีมีสุข ตามที่ได้หาเสียงไว้เสียก่อน เรียกศรัทธาจากประชาชนให้ได้ โดยสร้างรัฐบาลที่มีคุณภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อประเทศชาติเริ่มเดินต่อไปได้ดีแล้ว จึงค่อยๆพิจารณาแก้ไขปัญหาอื่นๆต่อไป

สิ่งแรก คือ สร้างผลงานเรียกศรัทธาให้ได้ แล้วประชาชนก็จะเป็นกำแพง เป็นพลังของคุณเองค่ะ


...กด Shift ค้าง คลิกซ้ายที่ภาพ เพื่อดูภาพขยายใหญ่...

Playlist...วิสัยทัศน์ผู้นำประเทศที่แท้จริง...

ทักษิณ บุรุษผู้โง่เขลา เบาปัญญา...
ที่มา: thaifreenews... โดย: หนุมานมาเอง

บุคคล คนนี้ ประสบความสำเร็จในชีวิตในด้านการงานรวยมีเงินเป็นหมื่นๆล้าน แต่ก็ยังอยาก ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น หรือรักษาธุรกิจ ตัวเองไว้ก็มิทราบได้ แต่การที่เขาก้าวเข้าสู่การเมือง ก็ประกาศสงครามกับคนชั่วๆ ทั้งหลายในชาติบ้านเมือง ซึ่งก่อให้เกิด ผลกรรม ที่กระทำในภายภาคต่อมา โดยนโยบายแต่ละอย่างที่ออกมานั้นผู้ที่เสียผลประโยชน์ ซึ่งหากินกับรากหญ้า หรือผู้ที่อ่อนแอกว่านั้น ได้สูญเสียผลประโยชน์ส่วนตัวไปมากมาย

1. ประกาศสงครามกับยาเสพติด นโยบายนี้เมื่อเริ่มดำเนินการ ก่อให้เกิดผลดีแก่ชาติ มหาศาล จากที่ประชาชน เยาวชน ที่ติดยาบ้า มีข่าวจี้ตัวประกันรายวัน พาดหัวหนังสือพิมพ์ อยู่ทุกวัน กลายเป็นการฆ่าตัดตอน โดยฝ่ายที่เป็นเจ้าหน้าที่ หรือ พวกเดียวกันเอง ซึ่งก็ไม่มีใครทราบได้ แต่ก็โดนใส่ร้ายโดย นักสิทธิมนุษยชนว่า โดนฆ่าตัดตอนโดยฝ่ายรัฐบาล แต่ก็โดนประชาชนตบหน้า โดยการสำรวจว่าพอใจในนโยบายและการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลเป็นอันดับ 1 ตลอดการบริหารงานของรัฐบาลแม้ว 1

2. ปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งงานนี้ ผู้มีอิทธิพล ในประเทศไทย ก็ไม่มีใคร นอกจากพวกที่มีสีทั้งหลาย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทั้ง ตร. ทห. ขรก. ที่มีอำนาจอยู่ในมือและ ใช้อำนาจโดยมิชอบเป็นผู้เสียหายจากนโยบายนี้ อย่างมาก
จึงก่อเกิดให้มีการปฏิวัติตามมา ในยุคนี้ซึ่งไม่น่าจะมีเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเลยในประเทศไทย

3. จัดระเบียบสังคม งานนี้ต้องยกนิ้วให้กับ ร.ต.อ.ปุรชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ดำเนินการจัดระเบียบสังคมให้กับเมืองไทย กับสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืน ที่มอมเมาเยาวชน ที่ปล่อยปะ ละเลยมานานปล่อยให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปเที่ยว มัวเมากับอบายมุขชนิดนี้ ซึ่งผู้ที่เสียหายจากนโยบายนี้กว้างขวางทั้ง ผู้มีอิทธิพลที่มีสีทั้งหลายที่เรียกเก็บ หัวคิวจากร้านที่อนุญาตให้เปิดเกินเวลา และให้เด็กอายุน้อยเข้า ซึ่งพวกนี้ คุมโดยสีกากี และสีเขียว เสียหายกันมาก

4. 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นนโยบายที่ทำให้หมอที่เปิดคลินิกเสียหายกันอย่างมาก และการที่จะออกกฎหมายให้หมอสั่งจ่ายยาได้อย่างเดียว ไม่สามารถ ขายยาได้ก็เป็นอีกส่วนที่ทำให้ กลุ่มชนชุดสีขาวที่มีรายได้จากส่วนนี้ ต่อต้าน

5. หวยบนดิน ปฏิเสธไม่ได้ว่า หวยใต้ดินนั้นอยู่คู่เมืองไทยมานานไม่มีใครปราบได้ แต่มายุติ ในยุคของนายกคนนี้ ผู้ที่เสียผลประโยชน์ซึ่งมีมูลค่าเป็นหมื่นล้านต่อปี ย่อมไม่พอใจท่านเป็นธรรมดา เจ้ามือหวย รวมทั้งสีกากีที่มีผลประโยชน์ในด้านนี้ด้วย ก็จะรุมจวกท่านเป็นธรรมดา

6. กองทุนหมู่บ้าน SME แปลงสินทรัพย์เป็นทุน การให้เงินหมู่บ้านละล้านและให้ประชาชนจัดการกันเอง การปล่อยกู้ให้ SME ต่างๆ การแปลงสินทรัพย์แผงค้า ร้านเล็ก ให้สามารถกู้ได้กับ ออมสิน เป็นการตัดรายได้ของ ผู้ให้กู้นอกระบบ ที่เอาเปรียบคนจนที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ซึ่งคนพวกนี้ก็จะอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ที่มีฐานะ และทำนาบนหลังคน เป็นอาชีพ อยู่แล้ว ย่อมเกลียดท่านเป็นธรรมดา

7. จัดตั้งบริษัทร่วมทุนในการกำหนดราคายางกับ มาเลเซียและอินโดนีเซีย ท่านโดนแน่จากผู้เสียประโยชน์ พ่อค้าคนกลางที่กดราคายางไว้มานาน และช่องทางการหากินจากข้าราชการและนักการเมืองที่ หากินกับยางมาช้านาน

8. ปฏิรูปราชการ จากนโยบายนี้ "เช้าชาม เย็นชาม" เริ่มไม่มีเห็นในระบบราชการไทย ซึ่งจะสังเกตได้จากการที่เราไปติดต่อสถานที่ราชการ จะรวดเร็วและสะดวกขึ้นกว่าเดิม งานนี่ข้าราชการที่ไม่สามารถ หารายได้จากการเรียกผลประโยชน์จากการติดต่อ เงินใต้โต๊ะก็หายไปเยอะ เช่นการประมูลเลขสวย เที่ยวหนึ่งๆ ได้เงินประมูลเป็นร้อยเป็นพันล้านบาท ผลประโยชน์นี้ คนที่เคยได้ก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา

9. สนามบินสุวรรณภูมิ ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า เมื่อมีการย้ายสนามบินไปจากดอนเมือง กลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์นั้นคือใคร ที่อยู่แถวดอนเมือง กลุ่มมาเฟีย อิทธิพลต่างๆ รายได้หดหายไปเยอะ มาก จึงต้องมีมาตรการย้ายเที่ยวบินในประเทศกลับมาดอนเมืองอีก

และยังมีอีกมากมายที่บุรุษที่โง่เขลาคนนี้ ได้สร้างศัตรูไว้อีก ซึ่งเป็นการสร้างความเจ็บแค้นให้กับพวกเขา แต่ยังไงก็แล้วแต่ บุรุษผู้นี้กลับสร้างคุณประโยชน์ ให้กับรากหญ้าที่มีจำนวนมากกว่า ผู้ที่เสียประโยชน์อีกมากมาย จึงทำให้เขาครองใจคนรากหญ้าที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบาย ทำให้รากหญ้าได้ลืมตาอ้าปากบ้าง แม้จะไม่มากในสายตาคนที่พอจะมีกินหรือเศรษฐีต่างๆ แต่มันก็เพียงพอสำหรับเขา รากหญ้าผู้ด้อยโอกาส ในสังคมไทยที่โดนกดหัวเพราะความด้อยโอกาส ของเขามานาน

"และถึงแม้คุณ จะเป็นบุรุษที่โง่เขลา ที่สร้างแต่ศัตรูทั่วประเทศ กับคนชั่วๆ แต่ยังไง คุณก็เป็นผู้บริหารคนหนึ่งที่ผมยกให้ว่าเป็น นายกฯที่ปฏิรูป ให้ประเทศไทยได้ก้าวเดินไปข้างหน้า อย่างเป็นรูปธรรม และประสบผลสำเร็จ อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดเท่าที่เป็นมา"

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

64 เพราะพวกเอ็งนั่นแหละฮ้า...ที่ทำให้ค่าแรงต้องกระโดดจาก 215 เป็น 300

ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน มีผลแค่ไหนกับกำไรขาดทุน


...คลิกที่ภาพ เพื่อดูภาพขยายใหญ่...

ค่าแรง 300 บาท ทะลวง ผ่าน สังคมไทย จาก "เพื่อไทย"
By: ข่าวสดรายวัน
วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7536

ไม่มีนโยบายอะไรที่จะ "ยั่ว" ให้ "แย้ง" ได้อย่างแหลมคม เท่ากับนโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ของพรรคเพื่อไทย

ยั่วให้แย้งแล้วเปิด "หน้า" ออกมาให้ได้เห็น

การออกมา "ต้าน" นโยบายนี้ผ่านผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผ่านผู้บริหารหอการค้าแห่งประเทศไทย

มิได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย

เช่นเดียวกับ การออกมา "ต้าน" นโยบายนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นระดับหัวแถวอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะเป็นระดับหางแถวอย่าง นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ

ก็มิได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย

เด่นชัดยิ่งว่าพรรคประชาธิปัตย์ร้องเพลงเดียวกันกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร้องเพลงเดียวกันกับหอการค้าแห่งประเทศไทย

เป็นเพลงของ "นายจ้าง" อันอยู่ตรงกันข้ามกับ "ลูกจ้าง"

ถามว่ามีลูกจ้างคนใดออกมาต่อต้าน ไม่เห็นด้วย กับการเสนอนโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันบ้าง

ไม่มี

ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากสภาลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย

ล้วนเห็นด้วย

"การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททำให้คุณภาพชีวิตของแรงงานดีขึ้น เพราะปัจจุบันค่าครองชีพเพิ่มขึ้นค่าแรงปัจจุบันในกทม. 215 บาทต่อวัน ไม่เพียงพอ" เป็นการสำนองรับจากคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.)

นี่ย่อมสวนทางอย่างสิ้นเชิงจากกระแสต้านจาก "นายจ้าง" และพรรคการเมืองของ "นายจ้าง"

นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน จึงไม่เพียงแต่ทำให้พรรคเพื่อไทยยืนอยู่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับพรรคประชาธิปัตย์

หากแต่ยืนอยู่คนละฝ่ายกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

หากแต่ยืนอยู่คนละฝ่ายกับหอการค้าแห่งประเทศไทย

พรรคเพื่อไทยจึงเป็นพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่าย "ลูกจ้าง" ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ไม่ว่าจะเป็นสภาลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยก็ตาม

พรรคเพื่อไทยเห็นใจ "ลูกจ้าง" พรรคประชาธิปัตย์เห็นใจ "นายจ้าง"

เพียงโยนประเด็น 300 บาทเข้ามา ภาพของสังคมไทยก็ปรากฏชัด ณ เบื้องหน้าประชาชน

เป็นสังคมไทยที่คนส่วนหนึ่งมั่งคั่งด้วยทรัพย์ศฤงคาร เป็นสังคมไทยที่คนส่วนใหญ่อยู่อย่างลำบากยากไร้

เป็นภาพของ "นายจ้าง" เปรียบเทียบกับภาพ ของ "ลูกจ้าง"


เพราะพวกเอ็งนั่นแหละฮ้า...ที่ทำให้ค่าแรงต้องกระโดดจาก 215 เป็น 300
By: นางฟ้านะยะ

ในสายตาพวกแมลงสาป คนที่ตั้งท่าจะค้าน ยังไงก็หาเรื่องค้านได้อยู่แล้ว

ทั้งๆที่คุณปู ยังไม่ได้เป็น สส. ด้วยซ้ำ นโยบายจะทำอย่างไรก็ยังไม่ได้ฟัง...ก็บอกว่าทำไม่ได้เอาไว้ก่อน

ถึงแม้คุณปู จะเริ่มทำในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆก่อน...ก็จะบอกว่า ต่างจังหวัดก็ยังไม่ได้

ถึงแม้คุณปูจะทำทั้งทั่วประเทศได้...ก็จะบอกว่าแรงงานต่างด้าวยังไม่ได้ ทั้งๆที่เขากำหนดให้เฉพาะคนไทยเท่านั้น

ถึงแม้คุณปูจะทำทั้งประเทศได้...ก็จะบอกว่าแรงงานที่นายจ้างมีที่พักให้และมีค่าอาหารให้นั้นยังไม่ได้ ทั้งๆที่เขากำหนดให้เฉพาะแรงงานที่ไม่ได้รับการดูแลในเรื่องอาหารและที่พัก

ถึงแม้คุณปูจะทำทั้งประเทศได้...ก็จะบอกว่ายังมีขอทานบางคนก็ยังไม่ได้

ถึงแม้คุณปูจะทำให้ขอทานยังมีรายได้วันละ 300 บาท...ก็จะบอกว่าขอทานต้องขอทั้งวันถึงจะได้ 300 เกินเวลาทำงาน

คนเรามันจะค้าน มันก็ค้านไปเรื่อยๆได้แหละ...

แต่พอถามถึงค่าครองชีพที่สูงในตอนนี้ หากยังคงได้ค่าแรงแค่วันละ 215 บาท คุณจะอยู่อย่างไร ก็ไม่มีใครตอบได้สักคน วันๆได้แต่ตั้งกระทู้เอาเสียงบ่นของนายจ้างมาโวยวาย

ที่ค่าแรงต้องสูงกระโดดจาก 215 เป็น 300 ในคราวเดียวนั้น ความจริงก็เพราะพรรค ปชป. นี่แหละ 2 ปีกว่าๆที่ผ่านมาบริหารประเทศไม่ดี ทำให้ค่าครองชีพราคาสูงขึ้น

น้ำมันสัญญาเอาไว้บอกว่าจะลด มันก็เก็บภาษีเสียสูงลิ่ว

แม้ดีเซลจะตรึงราคาได้ แต่คนที่ใช้ชีวิตประจำวันอีกมากก็ต้องใช้น้ำมันเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางอยู่ดี ราคาเบนซินแพงกว่ายุคนายกฯสมชายทั้งๆที่ค่าเงินบาทตอนนั้นอ่อนกว่านี้ และราคาน้ำมันดิบก็แพงกว่าตอนนี้ด้วยซ้ำ

น้ำมันพืชควรจะลด ก็ไม่ยอมลด

ทั้งๆที่ราคาปาล์มดิบร่วงลงมาแล้ว มันก็ดึงอยู่นั่นแหละ จนเพิ่งจะเริ่มลดในวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมานี้เอง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เป็นคนสะเพร่าหรือจงใจก็ไม่รู้แต่เป็นความผิดพลาดในการทำงานของรัฐบาลแมลงสาป ที่ทำให้ราคาน้ำมันจากลิตรละ 28 บาท ต้องขึ้นราคาคราวเดียว 19 บาทและยังหาสินค้าไม่ได้ บางคนต้องซื้อถึงลิตรละ 50-60บาทก็มี

ราคาข้าวสารถุงควรจะลดก็ไม่ยอมลด

ทั้งๆที่ชาวนาขายข้าวได้เกวียนละไม่ถึงหมื่น ราคาประกันก็แค่หมื่นเดียว แต่ราคาข้าวสารถุงละ 5 กิโล ยังมีราคาเท่ากับตอนที่นายกฯสมชาย ทั้งๆที่ช่วงนั้นข้าวเปลือกมีราคาตันละ 15,000 บาท ปล่อยให้พ่อค้าฟันกำไรโดยไม่เคยดูแล

ไข่ไก่ก็แก้ปัญหาอย่างปัญญาอ่อน ที่คิดจะขายแบบชั่งกิโล

ผลปรากฏว่า เสียเงินไปฟรีๆ 69 ล้านบาท โดยที่ไข่ไก่ยุคนายมาร์คทำราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย แต่รัฐบาลมันก็นิ่งเฉย รอแต่ว่าการขายไข่ชั่งกิโลจะช่วยให้ราคามันลงมาเองได้

เนื้อหมูเนื้อไก่ ก็ขึ้นราคาเกือบ 50%

โดยเฉพาะเนื้อไก่ เคยซื้อได้ในราคาไม่ถึง 60 บาทต่อกิโล แต่ตอนนี้ราคาพุ่งไปเกือบ 100 บาทเข้าไปแล้ว ราคาเนื้อหมูก็เช่นกัน จากกิโลละ 110 กลายเป็น 150 ภายในเวลาไม่นาน

ห้างสรรพสินค้าไฮเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลาย ก็จัดรายการกันน้อยมาก ไม่เหมือนยุคทักษิณที่ปล่อยให้พ่อค้ามีการแข่งขันลดราคากัน เพื่อแย่งลูกค้า ทำให้ผู้บริโภคได้เปรียบ

รัฐบาลที่ดีนั้น หากสินค้าใดมีราคาสูงหรือขาดแคลน รัฐบาลก็จะรีบจัดหาสินค้าราคาถูกมาจำหน่าย เพื่อลดภาระความเดือดร้อนของประชาชน ทำให้พ่อค้าไม่กล้าขึ้นราคาสินค้า

แต่รัฐบาลนายมาร์ค กลับปล่อยให้พ่อค้าประโคมข่าวหลอกชาวบ้านได้ทุกวัน เดี๋ยวข้าวสารจะขาดตลาด เดี๋ยวน้ำตาลจะขาดแคลน เดี๋ยวน้ำมันจะขึ้นราคา มั่วกันไปหมด

มีรัฐบาลที่เอาใจแต่นายทุน กลัวนายทุนจะขาดทุนกำไรแบบนี้ ค่าครองชีพมันเลยพุ่งปรี๊ด จนทำให้ค่าแรงเท่าเดิมนั้นไม่สามารถอยู่รอดได้ เพราะราคาสินค้าขึ้นกันหมดทุกตัว ทั้งๆที่เป็นสินค้าที่เราผลิตเองได้และส่งออกอย่างน้ำมันปาล์มก็ยังมีปัญหา

ดังนั้น ที่ค่าแรงต้องขึ้นมาเป็น 300 บาท ก็เพราะ 2 ปีกว่าๆที่ผ่านมา รัฐบาลนายมาร์คไม่เคยสนใจในการควบคุมดูแลราคาสินค้า ปล่อยให้ขึ้นตามใจชอบ กลัวแต่พ่อค้าที่ขู่ว่าจะไม่มีสินค้าในตลาด โดยไม่หาวิธีอื่นมาแก้ไข

ส่วนนายมาร์คนั้นไม่ต้องไปพูดถึง วันๆเอาแต่เกาะโพเดียม บ้าน้ำลายปาฐกถาทั้งวัน มาร์คจะรู้ไหมว่า แม้แต่ไข่ดาวยุคที่มาร์คบริหารประเทศ เขาขายกันใบละ 10 บาทแล้ว

ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกตัวแบบนี้ ก็เพราะเรามีรัฐบาลห่วยๆมา 2 ปีกว่าๆนี่แหละนะฮ้า

เพื่อยุติปัญหาแตกแยกในสังคม...ใครชอบใครก็ว่ากันไป จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน...คนชอบกันมาอยู่ด้วยกันมันมีแต่รอยยิ้ม...คนเหนือคนอีสานเขาชอบพรรคเพื่อไทยก็ให้เพื่อไทยมาบริหาร...ส่วนคนใต้+กรุงเทพฯชอบพรรคปชป.ก็เชิญปชป.บริหารไป แบ่งเขตกันเลย...ดูซิว่าใครจะเจริญกว่ากัน...เอาไหม??...เอาไหม??

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

63 "จะไม่ใช้ประโยชน์จากนโยบายพรรคเพื่อไทย" เอามั๊ยล่ะ?

เพื่อยุติปัญหาแตกแยกในสังคม...ใครชอบใครก็ว่ากันไป จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน...คนชอบกันมาอยู่ด้วยกันมันมีแต่รอยยิ้ม...คนเหนือคนอีสานเขาชอบพรรคเพื่อไทยก็ให้เพื่อไทยมาบริหาร...ส่วนคนใต้+กรุงเทพฯชอบพรรคปชป.ก็เชิญปชป.บริหารไป แบ่งเขตกันเลย...ดูซิว่าใครจะเจริญกว่ากัน...เอาไหม??...เอาไหม??

"จะไม่ใช้ประโยชน์จากนโยบายพรรคเพื่อไทย" เอามั๊ยล่ะ?
By: ปลายอ้อกอแขม

หลังจากเลือกตั้งเสร็จได้สัก 2 วัน นายบุญยอด สุขถิ่นไทย สส.ปาร์ตี้ลิสพรรคประชาธิปัตย์อันเป็นที่รักของผม ได้ออกมาแถลงข่าวชนิดหน้าตาตื่นคล้ายเพิ่งเสร็จจากการฟัดกับหมามาหยกๆว่า "พรรคเพื่อไทย เริ่มแทรกแซงสื่อมวลชนแล้ว ด้วยการสั่งปิดวิทยุชุมชนของพรรคภูมิใจไทย ทำให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ แทรกแซงและครอบงำสื่อมวลชน" ...พระเจ้าช่วย กล้วยทอดจริงๆ!

ผมและเพื่อนบ้านฟังแล้วขำกลิ้ง โถ...อ้ายบ้า! นี่มันอะไรกันนักหนา เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย อำนาจก็ไม่มีรัฐบาลก็ยังไม่ได้ตั้ง งานอะไรก็ยังไม่ได้ทำ แล้วมันสามารถกล่าวหาได้อย่างสนิทปากว่า ไปสั่งปิดวิทยุชนชนซะแล้ว ...โถๆๆพ่อคุณพ่อทูนหัวบุญยอด

เล่าให้ฟังเฉยๆนะ ส่วนตัวไม่ได้คิดอะไรกับอ้ายนี่หรอก...เพราะมันเป็นคนบ้าน่ะ!

นโยบายพรรคเพื่อไทย ที่เสนอต่อประชาชน ถือว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจตาจุ่น ยายเจิม ลุงมี ป้าแม้น เป็นยิ่งนัก จึงได้พากันเลือกพรรคเพื่อไทยให้เข้ามาบริหารประเทศ เพื่อจะได้นำพาประชาชนไปสู่ความอยู่ดีกินดี...ตามที่สัญญาไว้

หากไปถามชาวบ้านว่ามีใครบ้างที่คิดว่า ยี่ห้อพรรคเพื่อไทย อันมีทักษิณตราดูไบห่อรับประกันคุณภาพแล้ว จะทำไม่ได้บ้าง ผมอาจโมเมตอบแทนให้ได้เลยว่า แทบจะไม่มีคนไม่เชื่อ เพราะผลงานที่ผ่านมา ก็เห็นกันอยู่ทนโท่ ประจักษ์ในศักยภาพของมันสมอง และวิธีคิด ที่แตกต่างกับประชาธิปัตย์...ชนิดหน้ามือกับหลังเท้า!

พอพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งด้วยจำนวนคะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่ง บรรดามิตรรักแฟนเพลงประเภท "ขาประจำ" ก็ออกมาตะโกนโพนทะนาด้วยสำเนียงเย้ยหยันว่า "นโยบายค่าแรงวันละ 300 ปริญญาตรี 15,000 ไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าทำอย่างนั้นจริง ใคร๊ จะมาจ้าง" ...หัวใจมัน ขอให้คนไทยอดอยากต่อไป!

โดยฐานคิด คนเหล่านี้ จะเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ แล้วตัดสินเองว่า "นี่ขนาดตูยังทำไม่ได้ แล้วคนอื่นมันจะมีปัญญาเร๊อะ?" พูดง่ายๆว่าถ้าคนอย่างตูโง่ คนอื่นก็คงไม่มีทางฉลาดไปได้...ว่างั้น!

ผม และคนไม่น้อยกว่า 15 ล้านคน ก็ไม่ได้ฉลาดหลักแหลมไปกว่าพวกเขาหรอกครับ แต่ผมและคนเหล่านั้น ก็ฉลาดพอที่จะรู้ในเบื้องต้นว่า อะไรได้ อะไร ไม่ได้ ใครทำได้...ใครทำไม่ได้

ยอมรับว่า นโยบายที่คิดขึ้นมาของพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องที่ทำได้ยากถึงยากที่สุด ซึ่งคนทั่วไปเห็นว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ พูดเอามันส์ พูดเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งเท่านั้น แต่ไม่ได้คิดไปว่าก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอออกมาแต่ละนโยบายนั้น...เขาได้ศึกษาความเป็นไปได้มาก่อนแล้ว

คำว่า "ยาก แต่ทำได้" กับ "ทำได้ แต่ยาก" ...ตรรกะความคิดมันต่างกัน!

ความมั่นใจในวิธีคิด วิธีทำ เชื่อมโยงไปยังอดีตที่พรรคไทยรักไทยประสบความสำเร็จจากนโยบายต่างๆ เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน, สินค้าOTOP ฯลฯ ทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับเลือกอย่างถล่มทะลาย...ก็เพราะเกิดความเชื่อมั่น

นโยบายของพรรคเพื่อไทย จึงเป็นสิ่งที่ "เข้าใจได้ยาก" สำหรับบัวประเภทที่ 5 ซึ่งขึ้นอยู่ใต้แผ่นปูน โดยไม่มีวันงอกเงยออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันได้อย่างเด็ดขาด...บัวไร้เหล่า

เอามั๊ย? ...อย่างจริงใจที่สุด

สำหรับคนที่ต่อต้านนโยบายพรรคเพื่อไทย แล้วออกมาโจมตี ด่าว่า เย้ยหยัน อยู่ในวันนี้ ก็ขอให้ยึดมั่นในความคิดนี้ไว้ก็แล้วกัน...อย่าเปลี่ยนใจ

เมื่อคุณแม่ขอร้อง ให้ไม่ปลื้ม ไม่รัก ไม่ชอบ เกลียด ขยะแขยง นโยบายของพรรคเพื่อไทย จะด้วยเหตุใดก็ตาม ก็ขอให้ประกาศตัวมาเลยว่าจะไม่ใช้ประโยชน์จากนโยบายพรรคเพื่อไทย...เอากันให้เด็ดขาด!

จากนั้น ก็ไปสั่งเสียกับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ลูกหลาน พี่ป้าน้าอาไว้ ก่อนจะตายว่า...ดังนี้

"พี่น้อง! ถ้าพรรคเพื่อไทย ทำให้ค่าแรงขึ้นวันละ 300 บาทได้ เมิงอย่าไปรับนะ ให้รับแค่วันละ 215 บาท เท่านั้น แล้วตูก็จะไม่รับด้วย...เพราะตูเกลียดมัน!

พี่น้อง! ถ้าพรรคเพื่อไทยกำหนดให้ปริญญาตรี มีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาทได้จริง พวกเมิงอย่าไปรับ ขอแค่เดือนละ 8,200 บาทก็พอแล้ว ตูก็ไม่เอาด้วย...เพราะตูหมั่นไส้มัน!"

ถ้าคุณทำได้อย่างนี้ ผมจะคลานเข่าตั้งแต่ประตูบ้านคุณ แล้วไปกราบที่เท้าของคุณ เป็นจำนวน 9 ครั้ง เหมือนสนธิกำลังจะไปกราบเท้าอภิสิทธิ์...เรื่องที่ไทยประกาศถอนตัวจากภาคีมรดกโลก

สนใจหรือเปล่า...พ่อคุณ..แม่คุณ!

แต่ผมคงไม่รับประกันว่า ถ้าคุณพูดอย่างนี้แล้ว คุณจะโดน "ส้นมือ" หรือ "ส้นเท้า" ของบรรดาญาติพี่น้องของคุณคนไหนบ้าง...อันนี้ ไม่รู้จริงๆ!

แต่ถ้าให้เดา...น่าจะโดน "ส้นเท้า" จากญาติพี่น้องมากกว่านะ!!!

ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน มีผลแค่ไหนกับกำไรขาดทุน


...คลิกที่ภาพ เพื่อดูภาพขยายใหญ่...

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

000 ซูสีไทเฮา 1-25จบ - จักรพรรดิโลกไม่ลืม - สงครามชีวิต โอชิน

ซูสีไทเฮา 1-16


ซูสีไทเฮา 17-25จบ - จักรพรรดิโลกไม่ลืม


สงครามชีวิต โอชิน (ตอน1) 1/3 ถึง (ตอน18) 3/3


สงครามชีวิต โอชิน (ตอน19) 1/2 ถึง (ตอน36) 3/3


สงครามชีวิต โอชิน (ตอน37) 1/2 ถึง (ตอน56) 2/2

คลิกที่นี่...สงครามชีวิต โอชิน (ตอน57) 1/2 ถึง (ตอน163) 3/3จบ

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

62 ข่าวดี!!! ศึกษาภัณฑ์ขอนแก่นขึ้นค่าแรง 300 บาท/วัน

ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน มีผลแค่ไหนกับกำไรขาดทุน

เพื่อยุติปัญหาแตกแยกในสังคม...ใครชอบใครก็ว่ากันไป จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน...คนชอบกันมาอยู่ด้วยกันมันมีแต่รอยยิ้ม...คนเหนือคนอีสานเขาชอบพรรคเพื่อไทยก็ให้เพื่อไทยมาบริหาร...ส่วนคนใต้+กรุงเทพฯชอบพรรคปชป.ก็เชิญปชป.บริหารไป แบ่งเขตกันเลย...ดูซิว่าใครจะเจริญกว่ากัน...เอาไหม??...เอาไหม??


By: ข่าวสดออนไลน์


ศึกษาภัณฑ์ขอนแก่นขึ้นค่าแรง 300 บาท/วัน สนองนโยบายเพื่อไทย

วันที่ 10 ก.ค.2554 ที่ห้องประชุมของบริษัท ศึกษาภัณฑ์ขอนแก่น นายประสม ประคุณสุขใจ อดีต ส.ส.ขอนแก่น 3 สมัย ในฐานะประธานกรรมการบริษัท ศึกษาภัณฑ์ขอนแก่น จำกัด และบริษัทฯในเครือ แถลงข่าว ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ให้แก่พนักงานของบริษัท และบริษัทฯในเครือ 8 บริษัท โดยเป็นพนักงานในกลุ่มแม่บ้าน รปภ. และกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และปรับค่าแรงให้แก่พนักงานทุกแผนก ทุกคน ขึ้นจากฐานเงินเดือนเดิม โดยเริ่มต้นปรับคนละไม่น้อยกว่า 2,000 บาท ขึ้นไป ซึ่งบริษัทฯต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10 –12 ล้านบาท สนองนโยบายรัฐบาลใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี

นายประสมกล่าวด้วยว่า โดย บริษัท ศึกษาภัณฑ์ขอนแก่น จำกัด และบริษัทฯในเครือ ได้เรียกประชุมกรรมการบริษัทฯเป็นการด่วนในเช้า วันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมมีมติตัดสินใจขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุกตำแหน่งงาน ได้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท และปรับค่าแรงให้แก่พนักงานเก่าทุกแผนกทุกคน ขึ้นจากฐานเงินเดือนเดิม โดยเริ่มต้นปรับคนละไม่น้อยกว่า 2,000 บาทขึ้นไป

"เมื่อพี่น้องประชาชนจะมีฐานะดี มีเงินจับจ่าย มีเงินเก็บ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างมากในเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน และที่แน่นอนที่สุดบริษัทฯจะมียอดเพิ่มขึ้น และจะเป็นอื่นไปไม่ได้ที่ผลกระทบเหล่านั้น จะไม่ทำให้บริษัทฯมีกำไรมากขึ้นตามยอดขาย ลดภาษีเงินได้ลดเหลือเพียง 23% ในปี 2555 และลดภาษีเงินได้ลงเหลือเพียง 20% ในปี 2556 กำไรก็ได้เพิ่มมากขึ้น ภาษีเงินได้ก็จ่ายน้อยลง เพียงเท่านี้ก็มีความมั่นใจเสียยิ่งกว่ามั่นใจ ว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท/วัน ของพนักงานในบริษัทฯ ทางบริษัทฯต้องมีกำไรเพิ่มมากขึ้น มีเงินจ่ายเพิ่มให้พนักงานทุกคนได้มีความสุข และทำให้มีขวัญกำลังใจทำงานเพิ่มขึ้น จึงได้มีมติสนองนโยบายรัฐบาลใหม่ทันที โดยขึ้นป้ายทุกบริษัทฯในเครือ พร้อมกับประกาศให้ประชาชนทั่วไปให้รู้ทั่วกัน ว่า บริษัทฯในเครือของตนสนองนโยบายรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยการจ่ายค่าแรงขั้นต่ำทุกตำแหน่งงาน 300 บาท/วัน และมีผลทันทีในวันที่ 4 ก.ค. 25554 เป็นต้นไป" นายประสมกล่าว


ราษฎรอาวุโสครับ โผล่หัวออกมาจากกะลาเสียทีเถอะ
By: สายลมรัก

ผมอึ้งๆนะ เมื่อเห็นท่านราษฎร อาวุโส แห่งประเทศไทย

ออกมากระชุ่นให้ชนใช้แรงงานสำเหนียก ในพื้นฐานของตนเองให้รู้อยู่ รู้กิน...

วันละ 150 บาท ก็น่าจะพอเพียง แก่อัตภาพ ในฐานะที่อยู่ในประเทศนี้

ผมไม่รู้ว่า ท่านราษฎร ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูป ปฏิทิน ได้ค่าจ้าง ค่าออน เดือนละเท่าไหร่ คิดเป็นวันได้วันละเท่าไหร่ เทียบกับค่าแรงวันละ 150 บาท แล้ว ท่านพึงพอใจมั้ย

ผมได้ข่าวว่าคณะกรรมการของท่าน ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เหมือนเอาคนแก่มาเล่นขี้มูก ไปร่วมๆ 100 ล้านบาท ทำไอ้โน่น เอาไอ้นี่มาอธิบาย ความเหลื่อมล้ำ ทฤษฏีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ไอ้นั่น ต้อง... ไอ้นี่ ต้อง...

ผมฟังแล้ว ได้แต่นึกถามตัวเองว่า เอ...เขาพูดอะไรของเขา(ว๊ะ) ขนาดคิดว่าตัวเองฉลาดมากพอ พยายามจะทำความเข้าใจแล้ว อ่านก็แล้ว เฮ้อ...เขาเพ้อเจ้ออะไรของเขาว๊ะเนี่ย เปลืองงบหลวงอิบอ๋าย (บอกกันตรงๆ)

มันดูเป็นนามธรรม ล่องลอย เหมือนอยู่เหนือปุยเมฆกันทุกคน อย่างไรก็ไม่รู้

แต่เอาเถอะ จริงๆ ผมก็พอเข้าใจนะว่าท่านเหงา

และอยากให้คนรำลึกเอาอกเอาใจ ตามประสาคนแก่ขี้เหงา

แหม...แต่การออกมากระชุ่น ด้วยวลีเด็ด 150 บาท ก็เพียงพอเนี่ย

ขออนุญาตเถอะ มันสุดจะทน

มันทำเอาอดนึกสะท้อนใจไม่ได้ว่า "ผมอาศัยอยู่ในประเทศเดียวกับท่านหรือเปล่าเนี่ยยย"

ผมเห็นมาเยอะแล้ว สอนเขา ราวกับศาสดา แต่ตัวเองไม่เคยทำ

150 บาท ผมนั่งนึกนอนนึก ในสภาวะเศรษฐกิจ ก๋วยเตี๋ยว ชามละ 35 บาท ชนใช้แรงงานไม่น่าจะพอกับแรงงานที่ใช้ ค่าครองชีพจิปาถะอย่างอื่น สูงไปทุกอย่างขนาดนี้

ท่านบอกว่า 150 บาทพอ

ท่านนึกเอา หรือนั่งเพ่งกษิณ บรรลุโสดาบรรณเอาขอรับ

ออกมาเถอะครับ ออกมาจากกะลา ออกมาดูโลกภายนอกบ้างว่า

ชีวิตจริงๆ ของคนในประเทศนี้ เขาอยู่กันอย่างไร

เขากินกันอย่างไร

เขาจ่ายค่าเล่าเรียนลูกกันอย่างไร

เขานั่งรถไปทำงานกันกี่ต่อ

เฮ้อออ...

ถ้าจะให้เก๋ โปรดประกาศ คณะกรรมการของท่านขอรับเงินค่าทำงานกันวันละ 150 บาท

และขอคืนเงินส่วนเกินทั้งหมด ให้แก่รัฐบาล

ผมไม่ใจดำหรอกครับท่่าน ผมจะบวกให้ ท่านๆ อีกคนละ 50 บาทต่อวัน เผื่อเป็นค่าน้ำมัน

เอาเลยครับ ทำดีให้เด็กดู มันจะได้ขลัง

คนในประเทศนี้ เจอพวกสร้างภาพจนเอียนมากพอแล้วครับ อย่าเพิ่มดารานำอีกคนเลย

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

61 ครอบครัวสุขสันต์"น้องไปป์"โชว์ฝีมือทำพิซซ่าให้แม่ปูทาน






ครอบครัวสุขสันต์"น้องไปป์"โชว์ฝีมือทำพิซซ่าให้แม่ปูทาน
เครดิตภาพจากคุณจิระพงศ์ ดึ๋งดึ๋งในทวิตเตอร์

ว่าที่นายกฯขอพักยก ใช้เวลาวันหยุดพาลูกชายไปกินพิซซ่า เรียนเปียนโน ส่วนวันที่ 10 ก.ค. คาดว่าจะขอแว้บไปชมฟุตบอลเอฟเอคัพ พร้อมเปิดตัว “ร็อบบี้ ฟาวเลอร์”

วันนี้(9ก.ค.54) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ใช้เวลาวันหยุด เดินทางออกจากบ้านพักพร้อม ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ บุตรชาย ไปรับประทานอาหารเที่ยงที่ร้านออริกาโน พิซซ่า แอนด์พาสต้า ที่บริเวณถนนประดิษฐมนูญธรรมซอย19 ทั้งนี้ น้องไปป์ได้นวดแป้ง ทำพิซซ่าหน้าโฟร์ชีส ด้วยตัวเอง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า น้องไปป์มากินอาหารร้านนี้ก็ทำพิซซ่าเองทุกครั้ง โดยมาร้านบ่อยจนคุ้นเคยเจ้าของร้าน และน้องไปป์ก็มาทานตั้งแต่ยังเล็ก มาบ่อยก็ขอทำเอง ซึ่งน้องไปป์ทำเก่ง แต่แม่ทำไม่เป็น เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้พาน้องไปป์มานั่งเรียนเปียโนที่โรงเรียนสยามกลการ ที่อยู่ในห้างบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า ลาดพร้าว

นอกจากนี้ ในช่วงเย็นวันที่10ก.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีกำหนดการว่าจะเดินทางไปชมการแข่งขันฟุตบอลมูลนิธิไทยคมเอฟเอคัพ 2011 ระหว่างทีม เมืองทองยูไนเต็ด กับ ทีมสมุทรปราการ โดยจะเป็นการเปิดตัวของอดีตดาวดังทีมลิเวอร์พูล “ร็อบบี้ ฟาวเลอร์” ในคราวเดียวกันด้วย



ขนาดโดนรุมรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้จากหลายด้าน เธอก็ยังยิ้มได้ ว่าที่นายกหญิงคนนี้ นิ่งได้ใจจริงๆ ทำไมเธอก็ยังมาดนิ่ง ไม่ตอบโต้ ไม่ใส่ร้าย พูดแต่นโยบายล้วนๆๆ สุดยอด เหมาะที่จะเป็นนายกหญิงของประเทศไทยแห่งการปรองดองที่สุดแล้ว...



กกต.โคราชสอบกรณี"ยิ่งลักษณ์"ทำผิดกม.เลือกตั้ง-เหตุผัดหมี่โคราชเข้าข่ายรับจัดเลี้ยง

กกต.โคราชสอบกรณี"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"ผัดหมี่โคราชถวายอนุสาวรีย์ย่าโมและแจกผู้สนับสนุน เมื่อ 31 พ.ค.2554 เข้าข่ายทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ห้ามผู้สมัครจูงใจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนเสียง และห้ามรับจัดเลี้ยงผู้ใด ผิดจริงถึงขั้นตัดสิทธิ์เลือกตั้ง ด้านแม่ค้าให้การ กกต. ยันควักเงินซื้อเส้นหมี่โคราช 1 กิโลเอง เพื่อให้ยิ่งลักษณ์แสดงฝีมือทำอาหารเป็นสีสันทางการเมือง

หนังสือพิมพ์หนังสือพิมพ์โคราชรายวัน คนอีสาน รายงานว่า ที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา (กกต.นครราชสีมา) เมื่อ 2 ก.ค.2554 เจ้าหน้าที่งานสืบสวนสอบสวน ได้เรียกนางจงรัก แววโคกสูง อายุ 63 ปี แม่ค้าขายผัดหมี่โคราช อยู่ที่ 26 สถานีรถไฟชุมทางถนนจิระ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมประชาชนที่อยู่ในเหตุการณ์ มาสอบปากคำเพิ่มเติม

กรณี นสพ.ไทยรัฐ ฉบับที่ 19490 วันที่ 2 กรกฎาคม 2554 เสนอภาพข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ผัดหมี่โคราชถวายอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี(ย่าโม) และแจกจ่ายพี่น้องประชาชนที่มาให้กำลังใจ ที่บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ระหว่างการลงพื้นที่หาเสียงในจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีผู้ร้องกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 53 ห้ามมิให้ผู้สมัคร หรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมือง (4) เลี้ยงหรือรับจัดเลี้ยงผู้ใด โดยใช้เวลาในการสอบสวนคนละประมาณ 30 นาที

นางจงรัก แววโคกสูง แม่ค้าขายผัดหมี่ในสถานีรถไฟจิระ เปิดเผยว่า "ข้อเท็จจริงตนมีความรักและศรัทธาพรรคเพื่อไทย เมื่อทราบข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มาหาเสียง จึงชักชวนเพื่อนๆให้มาต้อนรับ และเพื่อแสดงความเป็นท้องถิ่นโคราช ซึ่งมีอาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อ คือ ผัดหมี่โคราช ตนซึ่งมีอาชีพขายผัดหมี่ จึงนำอุปกรณ์ และเครื่องปรุง โดยใช้เส้นหมี่โคราช 1 กิโลกรัม มาตั้งโต๊ะให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงฝีมือทำอาหาร เป็นสีสันทางการเมือง โดยไม่มีอะไรแอบแฝง ที่สำคัญค่าใช้จ่ายทุกบาทเป็นของตนเพียงคนเดียว ประมาณ 320 บาทเท่านั้น จึงขอชี้แจงให้สังคมรับทราบ"

ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2554 นายกนก สิริเพ็ญโสภา หัวหน้างานสืบสวนสอบสวน กล่าวกับหนังสือพิมพ์โคราชรายวัน คนอีสานว่า ขณะนี้ กกต.นครราชสีมา สรุปสำนวนการสอบปากคำผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ผัดหมี่โคราชถวายอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี(ย่าโม) และแจกจ่ายพี่น้องประชาชน ระหว่างการลงพื้นที่หาเสียงในจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมาไปให้ กกต.กลางได้พิจารณาแล้ว แต่ในชั้นสืบสวนสอบสวนทางกกต.นครราชสีมาไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด ซึ่งกรณีนี้จะเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 53 (4) และอาจถึงขั้นถูกตัดสิทธิ์การเลือกตั้ง


ยิ่งลักษณ์ผัดหมี่โคราชกระทะเล็กนิดเดียว ผัดได้จานเดียว ผัดเสร็จก็กินเองเห็นๆอยู่ มันแจกตรงไหน??? ส่วนไอ้หมี กระทะที่เห็นนั่น...อย่าบอกนะว่า แดรกคนเดียวหมด




สาวแกร่งแห่ง"กองร้อยน้ำหวาน" บอดี้การ์ดผู้เคียงข้าง"ยิ่งลักษณ์"
คลิกที่นี่...ดูภาพวิธีการฝึก

หลายวันมานี้ เราจะได้เห็น"หญิงสาว"หน้าตาหวานบ้าง คมเข้มบ้าง แต่พวกเธอมีบุคลิกเดียวกันคือ ท่าทางทะมัดทะแมง ยืนประกบขวาซ้ายระวังหลัง"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย พร้อมสอดส่ายสายตาอย่างระแวดระวัง เพื่อหาสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

ถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกตาอยู่บ้าง ที่เราไม่เคยเห็นทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็น "ผู้หญิง" หลายคนคงสงสัยพวกเธอเหล่านี้มาจากไหน

พวกเธอเป็นตำรวจหญิงจาก"กองร้อยน้ำหวาน"หรือ"กองร้อยปราบจลาจลหญิง กองกำกับการควบคุมฝูงชน 1" ซึ่งคัดเลือกหัวกะทิจากการเปิดรับสมัครบุคคลภายนอก ซึ่งกำหนดคุณสมบัติต้องจบปริญญาตรี และมีอายุไม่เกิน 25 ปี

คัดเลือกกลุ่มที่ดีที่สุด สู่ขั้นตอนการอบรมยุทธวิธีอย่างหนักมากกว่า 3 เดือน เฉกเช่นเดียวกับหลักสูตรตำรวจปราบจลาจลชายอกสามศอก หากผ่านไปได้จะรับการบรรจุประจำการ รอคำสั่งให้ออกทำงาน แต่ระหว่างนี้พวกเธอยังต้องถูกเรียกฝึกอบรมยุทธวิธีอยู่เป็นระยะ

เรียกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะก้าวมาเป็นสาวหนึ่งใน"กองร้อยน้ำหวาน" และยิ่งไม่ง่ายที่จะได้เป็นสาวแกร่งยืนประกบ"ยิ่งลักษณ์"ว่าที่นายกฯสาวคนแรกของไทย

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

60 เส้นทางชีวิตผู้หญิงแกร่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ยังไม่ทันได้นั่งเต็มตัวเลย เริ่มลุยกันแล้ว... ยังงี้สิ ถึงได้ใจประชาชน... ดูเอาไว้ซะไอ้พรรคแมงสาบ ว่ามืออาชีพเค้าทำงานกันยังงัย...

บัตรเสียแบบนี้หลายแสนใบ...กกต.จะรับผิดชอบอย่างไร???

วันนี้(5ก.ค.54) ดูข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ปรากฏว่า

คะแนนปาร์ตี้ลิสต์(แบบบัญชีรายชื่อ)ของพรรคเพื่อไทยได้ถึง 15,748,458 คะแนน

และพรรค ปชป. ได้เพียง 11,395,269 คะแนน

ผลต่างมีถึง 4,353,189 คะแนนเลยทีเดียว

ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่รวมบัตรเสียของบัตรปาร์ตี้ลิสต์อีก 1,711,401 ใบ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นอาจจะกาผิดช่อง และน่าจะเป็นคะแนนของพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ

ตัวเลข 15 ล้านกว่าคะแนนนั้น คือตัวเลขของประชาชนที่สนับสนุนนโยบายพรรคเพื่อไทย

ตัวเลข 15 ล้านคะแนนนั้น คือจำนวนประชาชนคนไทยที่ไม่เชื่อข้อมูลของทางรัฐบาลที่กล่าวหาคนเสื้อแดงตลอดเวลาว่าเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง

การเลือกตั้งครั้งนี้ มันจึงเป็นชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของพรรคเพื่อไทย โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น





ขนาดโดนรุมรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้จากหลายด้าน เธอก็ยังยิ้มได้ ว่าที่นายกหญิงคนนี้ นิ่งได้ใจจริงๆ ทำไมเธอก็ยังมาดนิ่ง ไม่ตอบโต้ ไม่ใส่ร้าย พูดแต่นโยบายล้วนๆๆ สุดยอด เหมาะที่จะเป็นนายกหญิงของประเทศไทยแห่งการปรองดองที่สุดแล้ว...


เส้นทางชีวิตผู้หญิงแกร่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

By: voicetv.

รายงานพิเศษ เส้นทางชีวิตของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงก่อนเข้าทำงานที่แรก

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือปู เป็นศิษย์เก่ารุ่นบัวเกี๋ยง โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโรงเรียนแบบสหศึกษา โรงเรียนแห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของเธอ เพราะหลังจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย โรงเรียนสำหรับนักเรียนหญิง เธอก็ก้าวเข้าสู่สังคมอีกรูปแบบหนึ่ง

ตลอดการใช้ชีวิตที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย นอกจากเธอจะมุ่งมั่นทุมเทให้กับการเรียนแล้ว เธอยังได้ชื่อว่าเป็นนักกิจกรรมตัวยง อาจารย์สุภาพ บอกกับทีมข่าววอยซ์ว่า "ปู" เป็นลูกศิษย์ที่ไม่เคยทำให้หนักใจ เป็นเด็กที่พร้อมปรับตัวทุกการเปลี่ยนแปลง จึงเชื่อว่าด้วยจุดเด่นนี้ จะทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ก้าวไปถึงจุดมุ่งหมายได้ไม่ยาก และด้วยบุคลิกที่เรียบร้อย อ่อนหวาน และมีน้ำใจกับเพื่อนๆ ทำให้ "ปู" กลายเป็นขวัญใจของเพื่อนและคุณครูตั้งแต่เด็กๆ

ก่อนแยกย้ายกันไปศึกษาต่อ สาวๆกลุ่มนี้ เขาก็มีข้อความน่ารักๆที่เขียนใส่สมุดเฟรนด์ชิป มอบให้แก่กัน ไว้ตอกย้ำความผูกพันและมิตรภาพระหว่างเพื่อน ซึ่งยังเหนียวแน่นมาจนถึงทุกวันนี้

ในระดับปริญญาตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังคงศึกษาต่อที่บ้านเกิด ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะสังคมศาสตร์ สาขารัฐศาสตร์ หรือสิงห์ขาวรุ่น 21 ซึ่งปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้แยกสาขาวิชานี้เป็นคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์

หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี 2531 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชาย ส่งเธอไปศึกษาต่อที่ระดับปริญญาโทคณะรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคนทักกีสเตท ประเทศสหรัฐอเมริกา


รายงานพิเศษ ชีวิตในช่วงวัยทำงานของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่น่าสนใจไม่แพ้วัยเรียน โดยหลังจากจบการศึกษา เธอเข้าทำงานตั้งแต่ตำแหน่งเล็ก จนก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรขนาดใหญ่ พร้อมเสียงสัมภาษณ์ของบุคคลใกล้ชิด ทั้งเพื่อนร่วมงาน อดีตหัวหน้า และผู้ใต้บังคับบัญชา




สาวแกร่งแห่ง"กองร้อยน้ำหวาน" บอดี้การ์ดผู้เคียงข้าง"ยิ่งลักษณ์"
คลิกที่นี่...ดูภาพวิธีการฝึก

หลายวันมานี้ เราจะได้เห็น"หญิงสาว"หน้าตาหวานบ้าง คมเข้มบ้าง แต่พวกเธอมีบุคลิกเดียวกันคือ ท่าทางทะมัดทะแมง ยืนประกบขวาซ้ายระวังหลัง"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย พร้อมสอดส่ายสายตาอย่างระแวดระวัง เพื่อหาสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

ถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกตาอยู่บ้าง ที่เราไม่เคยเห็นทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็น "ผู้หญิง" หลายคนคงสงสัยพวกเธอเหล่านี้มาจากไหน

พวกเธอเป็นตำรวจหญิงจาก"กองร้อยน้ำหวาน"หรือ"กองร้อยปราบจลาจลหญิง กองกำกับการควบคุมฝูงชน 1" ซึ่งคัดเลือกหัวกะทิจากการเปิดรับสมัครบุคคลภายนอก ซึ่งกำหนดคุณสมบัติต้องจบปริญญาตรี และมีอายุไม่เกิน 25 ปี

คัดเลือกกลุ่มที่ดีที่สุด สู่ขั้นตอนการอบรมยุทธวิธีอย่างหนักมากกว่า 3 เดือน เฉกเช่นเดียวกับหลักสูตรตำรวจปราบจลาจลชายอกสามศอก หากผ่านไปได้จะรับการบรรจุประจำการ รอคำสั่งให้ออกทำงาน แต่ระหว่างนี้พวกเธอยังต้องถูกเรียกฝึกอบรมยุทธวิธีอยู่เป็นระยะ

เรียกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะก้าวมาเป็นสาวหนึ่งใน"กองร้อยน้ำหวาน" และยิ่งไม่ง่ายที่จะได้เป็นสาวแกร่งยืนประกบ"ยิ่งลักษณ์"ว่าที่นายกฯสาวคนแรกของไทย

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

59 เปิดใจ"อนุสรณ์ อมรฉัตร"พ่อของลูกคุณปู...น้องไปป์

บัตรเสียแบบนี้หลายแสนใบ...กกต.จะรับผิดชอบอย่างไร???


วันนี้(5ก.ค.54) ดูข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ปรากฏว่า

คะแนนปาร์ตี้ลิสต์(แบบบัญชีรายชื่อ)ของพรรคเพื่อไทยได้ถึง 15,748,458 คะแนน

และพรรค ปชป. ได้เพียง 11,395,269 คะแนน

ผลต่างมีถึง 4,353,189 คะแนนเลยทีเดียว

ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่รวมบัตรเสียของบัตรปาร์ตี้ลิสต์อีก 1,711,401 ใบ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นอาจจะกาผิดช่อง และน่าจะเป็นคะแนนของพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ

ตัวเลข 15 ล้านกว่าคะแนนนั้น คือตัวเลขของประชาชนที่สนับสนุนนโยบายพรรคเพื่อไทย

ตัวเลข 15 ล้านคะแนนนั้น คือจำนวนประชาชนคนไทยที่ไม่เชื่อข้อมูลของทางรัฐบาลที่กล่าวหาคนเสื้อแดงตลอดเวลาว่าเป็นคนเผาบ้านเผาเมือง

การเลือกตั้งครั้งนี้ มันจึงเป็นชัยชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของพรรคเพื่อไทย โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น


เพื่อไทยปิดปราศรัยใหญ่ ราชมังคลากีฬาสถาน 1 ก.ค.2554 ครบทุกๆท่านทุกๆคน...



ขนาดโดนรุมรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้จากหลายด้าน เธอก็ยังยิ้มได้ ว่าที่นายกหญิงคนนี้ นิ่งได้ใจจริงๆ ทำไมเธอก็ยังมาดนิ่ง ไม่ตอบโต้ ไม่ใส่ร้าย พูดแต่นโยบายล้วนๆๆ สุดยอด เหมาะที่จะเป็นนายกหญิงของประเทศไทยแห่งการปรองดองที่สุดแล้ว...




เปิดใจ"อนุสรณ์ อมรฉัตร"พ่อของลูกคุณปู...น้องไปป์
By: มติชนออนไลน์



"ภรรยาของผม อ่อนโยนแต่เข้มแข็ง"