PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

77 ดูคลิปวีดีโอชัดๆ "นายกฯยิ่งลักษณ์" ยิ้มทั้งน้ำตา ไม่ท้อ(ค่ะ) ไม่ร้องไห้ ... ต้องเข้มแข็ง

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ "พนัส ทัศนียานนท์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.โต้15คำถามของอธิการนาซี และ แถลงการณ์กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน
@ ดูกันชัดๆๆๆๆๆ คำพิพากษาศาลฯยกฟ้อง ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน19ก.ย.2549 แล้วผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง
@ 026 โตไปไม่โกง???
@ 61> เปิดคำวินิจฉัยผู้พิพากษาเสียงส่วนน้อย ปฏิเสธอำนาจคณะรัฐประหาร!!!!!
@ 01 คุณปูครับ...ปรับเปลี่ยนงาน ปชส.ของรัฐบาลและ ศปภ.ได้แล้ว
@ 68> นายกฯปูเฉียบขาด งัดม.31พ.ร.บ.ป้องกันฯยึดอำนาจ กทม.
@ Pictures...Bangkok Underwater 26 October 2011
@ 69> ระหว่าง นายกฯอภิสิทธิ์ กับ นายกฯยิ่งลักษณ์ ใครควรถูกตำหนิมากกว่ากัน
@ หลังน้ำลด แนะนายกฯปูจัดให้หนัก "เคลียร์บิล" ยกเครื่อง
@ 03 สองเขื่อนยักษ์ ปริศนาลับ! กำจัดปู! บทพิสูจน์น้ำ"หมื่นล้านคิว" มาจากไหน? ใครวางงาน?







ดูคลิปวีดีโอชัดๆ "นายกฯยิ่งลักษณ์" ยิ้มทั้งน้ำตา ไม่ท้อ(ค่ะ) ไม่ร้องไห้ ... ต้องเข้มแข็ง
By: http://www.matichon.co.th/




หลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนหยัดสู้กับมหาวิกฤตน้ำท่วม มากกว่า 1 เดือน ภาพของนายกฯ ผ่านสายตานักข่าว ดูอิดโรยและอ่อนล้า ยิ่งความเสียหายถาโถม ยิ่งทำให้นายกฯเครียดมากขึ้น

คำถามที่มักถามนายกฯก็คือ ท้อไหม!!!

เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมื่อเช้าวันที่ 27 ตุลาคม เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมทีมงาน ในหลายประเด็น เริ่มจาก ประเด็นไฟฟ้าที่ท่าอากาศยานดอนเมืองดับ ภายหลังมีน้ำเอ่อเข้าไปยังหม้อแปลง

นายกฯ ตอบว่า ยังไม่คิดเรื่องย้าย ศปภ. จะพิจารณาเป็นเรื่องหลังสุด เพราะยังมีหน้าที่ต้องทำอยู่ กรณีหม้อแปลงไฟฟ้าดับเป็นเรื่องปกติเพราะอาจมีน้ำเข้าไปบ้าง แต่เชื่อว่าภายในวันนี้ (27 ต.ค.) เจ้าหน้าที่จะซ่อมสำเร็จ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย ขอดูแลประชาชนให้เรียบร้อยก่อน เพราะหาก ศปภ.ไปย้ายก่อนตนจะไม่สบายใจ

เมื่อถามว่าแปลว่าย้ายผู้อพยพเสร็จอาจจะย้าย ศปภ. น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องดูอีกทีโดยประเมินเรื่องการเดินทางของเจ้าหน้าที่ ซึ่งตนได้สั่งการให้ตำรวจไปดูเรื่องจุดจอดรถรวมถึงสถานที่พักใกล้เคียง ตนไม่อยากให้เกิดลักษณะเป็นการตื่นแล้วรีบย้ายสถานที่เพราะ ศปภ.ได้เซ็ตระบบต่างๆไว้ จึงไม่อยากให้เกิดการติดขัด

รับกรุงเทพฯวิกฤตแล้ว

เมื่อถามว่า รมว.กลาโหมเสนอให้ย้ายไปที่สโมสรกองทัพบกถนนวิภาวดีรังสิตแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตัวตึกที่โน่นก็อยู่ได้ที่นี่ก็อยู่ได้ แต่ตนเป็นห่วงเรื่องการเดินทาง ที่ รมว.กลาโหมเสนอก็เป็นสถานที่ที่ดีแต่สุดท้ายก็จะเจอน้ำเหมือนกันจึงไม่ต่างจากที่นี่ แต่ยืนยันว่าไม่ไปที่ จ.ชลบุรี ที่ไปมีแต่ศูนย์พักพิง

เมื่อถามว่า กทม.เข้าสู่ขั้นวิกฤตจริงๆแล้วใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น เพราะสิ่งที่รัฐบาลทำคือการฝืนธรรมชาติของน้ำ ต้องสู้กับทั้งน้ำ คันกั้นน้ำ และมวลชน ซึ่งต้องขอความเห็นใจ เพราะไม่อยากใช้กฎหมายกับมวลชน และทุกคนก็ทรมานด้วยกัน ควรจะมาช่วยกันทำให้น้ำไหลลงทะเลให้เร็วที่สุด ที่ผ่านมา รัฐบาลก็พยายามหลายวิธี อย่างวันนี้ (27 ต.ค.) ก็มีการนำเข้ากระสอบทรายความยาว 1 กิโลเมตร แต่ยอมรับว่ามีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้มาก

จมน้ำสูง/ต่ำไม่เท่ากัน-คาดแช่เป็นเดือน

เมื่อถามว่ายอมรับน้ำท่วมจะทุกพื้นที่ใน กทม. น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คงจะใช่แต่ระดับน้ำจะสูง-ต่ำไม่เท่ากัน ที่อยู่ใกล้เครื่องระบายน้ำคงจะไม่นานคงจะสูบออกได้ ปัญหาคือน้ำไม่ได้ไหลลงคลองมากพอจึงต้องใช้เครื่องผลักดันน้ำช่วย วันนี้การระบายน้ำทางตะวันออกทำได้ดีขึ้นเยอะ แล้วน้ำก็เริ่มลงคลองแสนแสบแล้ว เมื่อถามว่าประเมินว่าจะท่วม กทม.นานเท่าใด น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “บางพื้นที่อาจจะเป็นเดือน บางพื้นที่อาจจะเร็วกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเครื่องสูบน้ำ ซึ่งระบบสูบน้ำจะต้องหารือกับ กทม.ในการเร่งระบายน้ำ ขอกราบเรียนประชาชนว่า เราต้องขอกำลังใจให้กันและกัน เพราะเจ้าหน้าที่สู้กับน้ำมาหลายเดือนแล้ว และปัญหาเรื่องการควบคุมบางครั้งไม่ได้มีปัจจัยจาก ศปภ.ทั้งหมด ดิฉันก็เห็นใจทุกคนโดยเฉพาะ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมในฐานะผู้อำนวยการ ศปภ.ที่ทำงานจนแทบไม่ได้นอน”

วอนชาวบ้านอย่าลุกฮือ แจงทำดีสุดแล้ว

เมื่อถามว่ากลัวคนไม่พอใจการทำงาน ศปภ.จนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า อยากจะขอความเห็นใจ เพราะ ศปภ.มีเจ้าหน้าที่น้อย บางคนยังไปเป็นผู้ประสบภัย ศปภ.เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกเพราะประชุมวันเดียวแล้วก็จัดตั้งเลย ทั้งที่ศูนย์ลักษณะนี้ควรจะใช้เวลาจัดตั้งเป็นเดือน ที่สำคัญยังเป็นการนำหน่วยงานต่างๆมาร่วมกันทำงานอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน แน่นอนว่าความเข้าใจไม่ตรงกันจะต้องมี ที่สำคัญมีอยู่ศูนย์เดียวแต่ต้องทำทั้งป้องกัน ดูแล และฟื้นฟูด้วย จึงอยากขอความเห็นใจด้วย

เมื่อถามว่าการเตรียมตั้งศูนย์อพยพในจังหวัดใกล้เคียงไว้หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า มีทั้งใน จ.ลพบุรี ที่รองรับได้ 5 พันคน รวมถึง จ.ชลบุรีและอีกหลายจังหวัด ศูนย์พร้อม แต่ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ เพราะศูนย์ใกล้ กทม.มีคนใช้หมดแล้ว จึงขอความกรุณาให้ประชาชนที่มีภูมิลำเนาต่างจังหวัด ไปใช้ศูนย์ต่างจังหวัด

ยันยังดูแลคนอีสานอยู่ ไม่ได้ทอดทิ้ง

เมื่อถามว่านักวิชาการเสนอให้ใช้ถนนวิภาวดีรังสิตเป็นทางผ่านของน้ำไปลงอุโมงค์ยักษ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า กทม.เคยหารือถึงเรื่องนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้ เพราะเวลานี้สิ่งที่ ศปภ.และ กทม.จะทำร่วมกันคือระบายน้ำไปยังฝั่งตะวันออก ส่วนฝั่งตะวันตกก็พยายามอยู่แต่น้ำยังไปยากอยู่ คงจะเป็น 2 ทางที่ทำ

เมื่อถามว่าหลายพื้นที่ในภาคอีสานประสบปัญหาน้ำท่วมเช่นกันจะทำอย่างไรให้รู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้งดูแลเฉพาะ กทม. น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เวลานี้รัฐบาลกำลังป้องกันน้ำ แต่ตนจะบอกตลอดว่า อย่าลืมคนต่างจังหวัดอีก 3 ล้านคนที่ประสบภัยน้ำท่วมเช่นกัน ทั้งพื้นที่ที่น้ำลดแล้วก็เร่งฟื้นฟู ส่วนพื้นที่ที่น้ำท่วมขังแล้วให้เร่งดูแล ประชาชนที่อยู่ตามบ้านอาจจะไม่สะดวกเหมือนเดิม เรื่องสินค้าที่จะให้กลับมาขายก็จะมีเฉพาะสินค้าที่จำเป็น สินค้าอื่นๆอาจจะไม่มีขายเหมือนเดิม เพราะยังติดอยู่ในศูนย์กระจายสินค้าที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

น้ำตาคลอ-ย้ำ2หน “ไม่ท้อค่ะ”

เมื่อถามว่าอยากจะบอกประชาชนถึงความอัดอั้นในใจอะไรหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์น้ำตาซึมออกมาพร้อมกระพริบตาถี่ๆ ก่อนกล่าวว่า “ก็...เราเอง กราบเรียนพี่น้องประชาชนว่า เรามีเจตนาดี (เสียงสั่นเครือ) และมีความตั้งใจ (เงียบไปพักหนึ่ง) ไม่ท้อค่ะ!”

เมื่อถามว่านายกฯร้องไห้บ่อยแค่ไหนตั้งแต่เกิดวิกฤตน้ำท่วม น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า “ไม่ได้ร้องไห้เลย ที่มีภาพออกมาเป็นจังหวะ แต่ไม่เคยร้องไห้ เพราะตนอยู่ตรงนี้ ต้องเข้มแข็ง ยืนยิ้มรับไม่ท้อค่ะ” (เสียงดัง) เมื่อถามว่ายิ้มทั้งน้ำตา น.ส.ยิ่งลักษณ์หัวเราะ

เมื่อถามว่าในช่วงวิกฤตของจริงจะมีมาตรการพิเศษอะไรออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังตอบเสียงสั่นว่า การป้องกันคงทำได้ยาก เพราะเพื่อนบ้านทั้งกัมพูชา เวียดนาม ลาว ก็เจอเหมือนเราหมด เท่าที่คุยกับต่างชาติก็ยอมรับว่าเป็นภัยธรรมชาติที่ยากจะควบคุมได้ มาตรการที่รัฐบาลจะออกคงเป็นเรื่องการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน ตั้งแต่คุยว่าจะใช้เครื่องสูบน้ำเท่าไร เพราะการกู้นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องใช้เป็นพันตัวซึ่งในประเทศมีไม่พอจำเป็นต้องนำเข้า อย่างที่จีนก็ยังหายากแล้ว จึงต้องสั่งไว้ล่วงหน้า นี่คือตัวอย่างในการเตรียมแผนฟื้นฟูล่วงหน้า

Comment...
By: Thanawut

ท่านนายกฯปูครับ อย่าท้อ...จงเข้มแข็งและยืนหยัดยิ้มสู้...ยิ้มรับกับภัยกับปัญหาที่เกิดขึ้น...เก็บน้ำตาไว้ให้มันไหลกลับลงไป อย่าให้มันไหลลงมาอาบแก้ม ให้เป็นที่เยาะเย้ยถากถางของคนจำพวกที่ดีแต่พูดทำงานด้วยลมปากไปวันๆหางานที่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้เลย

เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความวิบัติฉิบหายให้กับประชาชนและประเทศชาติครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นแค่ภัยที่เกิดจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่มันเกิดจากการวางแผนเป็นลำดับขั้นตอนทั้งกักทั้งกั้นทั้งกันจากฝีมือเศษเดนมนุษย์บางตัวบางพวกรวมหัวกันซ้ำเติม

ท่านนายกฯปูคงจะทราบแล้วนะครับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำตั้งแต่เขื่อนประตูเขื่อนจนถึงประตูน้ำต่างๆ มีอะไรเกิดขึ้น ติดขัดตรงไหนอย่างไร ก็เก็บเอามาคิดเอามาแก้ไขลำดับวางแผนให้รัดกุมและควบคุมอย่าให้มันเกิดขึ้นมาได้อีก ติดขัดตรงไหนถ้าที่คนก็แก้ที่คน ถ้าที่กฎหมายก็ต้องแก้ที่กฎหมาย ให้มันเด็ดขาดไปเลย

ต้องมีมาตรการเข้มงวด พอถึงหน้าฝนประตูน้ำทุกประตูของ กทม.ต้องเปิดรับน้ำและปล่อยน้ำไหลผ่านคลองต่างๆใน กทม.เพื่อให้ไหลลงทะเล เขื่อนต้องเป็นเขื่อนหน้าฝนต้องเก็บกักน้ำและรักษาระดับพร่องน้ำในเขื่อนให้พอเหมาะพอสม หน้าแล้งก็ต้องปล่อยน้ำออกมาให้ชาวบ้านได้ใช้ได้กินให้ชาวนาได้ทำนาปีละ 2 ครั้ง ไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่หน้าแล้งไม่ยอมปล่อยน้ำเก็บกักเอาไว้พอหน้าฝนก็เฮโลปล่อยน้ำออกมาท่วมบ้านท่วมเมืองจนฉิบหายกันไปทั่ว

เป็นกำลังใจและเอาใจช่วยครับท่านนายกฯปู และอย่าลืมว่าท่านเป็นนายกฯที่มาจากประชาชนที่เลือกท่าน 16 ล้านเสียง ทั้งหมดนี้จะเป็นปราการหินผนังทองแดงกำแพงเหล็กและเป็นกำลังใจเอาใจช่วยให้ท่านนายกฯปูฟันฝ่าอุปสรรคในเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้ด้วยดีครับ






ท่านนายกฯปูครับ จากคลิปนี้ดูตัวอย่างสะพานน้ำยกระดับข้ามถนนสุขุมวิทระบายน้ำจากสนามบินสุวรรณภูมิลงทะเลที่บางปู ประเทศไทยควรจะสร้างสะพานสำหรับส่งน้ำลงทะเลได้แล้ว

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

76 อิอิ...มาแล้วๆ ของฝากที่ใครๆไม่อยากได้

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ "พนัส ทัศนียานนท์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.โต้15คำถามของอธิการนาซี และ แถลงการณ์กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน
@ ดูกันชัดๆๆๆๆๆ คำพิพากษาศาลฯยกฟ้อง ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน19ก.ย.2549 แล้วผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง
@ 026 โตไปไม่โกง???
@ 61> เปิดคำวินิจฉัยผู้พิพากษาเสียงส่วนน้อย ปฏิเสธอำนาจคณะรัฐประหาร!!!!!
@ 01 คุณปูครับ...ปรับเปลี่ยนงาน ปชส.ของรัฐบาลและ ศปภ.ได้แล้ว
@ 68> นายกฯปูเฉียบขาด งัดม.31พ.ร.บ.ป้องกันฯยึดอำนาจ กทม.
@ 02 ไอ้ชาติห-มาตัวไหนใส่ร้ายนายกฯปู มานี่มาดูให้เต็มตา...
@ Pictures...Bangkok Underwater 26 October 2011






อิอิ...มาแล้วๆ ของฝากที่ใครๆไม่อยากได้
By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

นับจากวันแรกที่ออกมาลืมตาดูโลก จากเด็กทารกนอนดิ้นกระแด่วๆจนพลิกคว่ำคืบคลานยืดตัวลุกขึ้นยืนแล้วก็เดินวิ่ง ผ่านวัยเด็กวัยหนุ่มวัยฉกรรจ์จนถึงวัยเกษียณ ผ่านแล้งผ่านฝนผ่านร้อนผ่านหนาว เฮ้อ!!...คิดหวนย้อนกลับไปใจมันหายแว้บ มันเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวันวานนี่เอง แป๊บเดียวจริงๆวัยทองก็มาเยือน 64 ปีเข้าไปแล้ว และชีวิตนี้ไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะได้รับเกียรติให้ดำรงตำแหน่งราษฎรเต็มขั้น รับเงินเดือนเบี้ยยังชีพจากรัฐบาลเดือนละ 500 บาท ซึ่ง รบ.คุณปูจะเพิ่มให้เป็นเดือนละ 600 นี่คือของฝากที่เต็มใจอยากได้...อิอิ

แต่ของฝากที่ไม่อยากจะได้นี่สิมันแสบทรวงนัก ในวัยทองวัยชราผมได้รับของฝากที่ไม่อยากได้ 4-5 โรคแล้วครับ

เริ่มจากดวงตาทั้ง 2 ข้างเป็นโรคต้อหินและโรคต้อกระจก ดวงตาข้างซ้ายคุณหมออุดม ภู่วโรดม แผนกตา รพ.นพรัตนฯ ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาให้แล้ว เหลือแต่ดวงตาข้างขวาคุณหมอรุจยา ด่านอุตรา เฝ้าดูอาการอยู่ ถ้าไม่ไหวก็ต้องผ่าตัดกันอีก (คุณหมอรุจยารักษาต่อจากคุณหมออุดมซึ่งท่านย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา) ทุกวันนี้ผมต้องใช้ยา Timodrop Eye Solution 0.5% หยอดตาทุกเช้า-เย็นเพื่อปรับความดันลูกตาทั้งซ้าย-ขวา 2 ข้าง

โรคความดันโลหิตสูง คุณหมอวศินี ปิยะดำรงตระกูล ศูนย์บริการสาธารณสุข 45 ร่มเกล้า ให้ผมกินยาทุกๆวันตลอดชีวิต ยา Propranolol 10 mg. หลังอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 เม็ด, ยา Hydrochlorothiazide 25 mg. หลังอาหารเช้า 1 เม็ด และยา Simvastatin 10 mg. ก่อนนอนอีก 1 เม็ด ล่าสุดวันที่ 12ต.ค.54 ความดันโลหิตของผมอยู่ที่ 125/83 ชีพจร 74 ผ่านไปได้สบายๆ

มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจะเล่าแถมให้ฟัง(อ่าน) ผมมีเพื่อนเป็นคุณหมอตอนนี้ปลดเกษียณไม่ได้รักษาคนไข้แล้ว เพื่อนคนนี้บอกว่ายากินหลังอาหารนี่ให้กินก่อนกินข้าวได้เลยไม่มีอันตรายใดๆ ที่ระบุไว้อย่างนั้นเพราะคุณหมอกลัวว่าคนไข้จะลืมกินยานั่นเอง แล้วอีกเรื่องนึงสำหรับคนไข้ที่คุณหมอห้ามกินไอ้นั่นห้ามกินไอ้นี่ เพื่อนคนนี้บอกว่าให้กินให้หมดทุกอย่างที่คุณหมอสั่งห้าม สั่งห้ามกินอะไรก็กินไอ้ที่สั่งห้ามนั่นแหละกินให้หมดกินทุกอย่างที่คุณหมอสั่งห้ามเลย แต่มีข้อแม้อย่ากินบ่อยและต้องกินน้อยๆอย่ากินเข้าไปมาก กินพอรู้รสพอหายอยากก็พอ เพราะทุกวันนี้เราหรือทุกๆคนส่วนมากจะกินอาหารจานด่วนตามสั่ง กินข้าวผัดกุ้งปลาหมึกก็มีกุ้ง 2-3 ตัวปลาหมึกตัวเล็กๆ 1 ตัวเท่านั้นไม่มากมายกินเข้าไปเถอะไม่เป็นอันตรายใดๆ แต่ถ้ากินต้มยำกุ้งต้มยำปลาหมึกเป็นหม้อๆนั่นแหละความดันโลหิตพุ่งปรี๊ดเลยอันตรายๆ

แล้วเพื่อนคนนี้ก็อธิบายเพิ่มเติมว่า ตัวเราเองบรรพบุรุษพ่อแม่ของเราสอนให้เรากินให้เรารับโปรตีนจากเนื้อสัตว์น้ำเนื้อสัตว์บกมาตั้งแต่เกิด ร่างกายของเราก็ปรับให้รับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ถ้าเราไม่กินไม่รับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ร่างกายจะเอาโปรตีนมาซ่อมแซมส่วนสึกหรอได้จากที่ไหน แต่ถ้าบรรพบุรุษพ่อแม่ของเราสอนให้เรากินให้เรารับโปรตีนจากพืชมาตั้งแต่เกิด ร่างกายของเราก็ปรับให้รับโปรตีนจากพืชด้วยเช่นกัน เพื่อนคนนี้บอกต่อไปว่าเพราะเป็นเพื่อนสนิทกันจึงบอกให้รู้ แต่จะให้บอกคนไข้ทั่วๆไปไม่ได้ เพราะมนุษย์เรามีระดับความรู้ความเข้าใจต่างกัน กลัวว่าจะเข้าใจผิดว่าที่สั่งห้ามไม่ให้กินน่ะให้กินให้หมดได้อย่างนั้นคุณหมอก็เสียคนนะสิ ทุกวันนี้ตัวผมเองก็กินทุกอย่างที่คุณหมอสั่งห้ามเหมือนกันแต่ไม่กินบ่อยอาทิตย์ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ถ้ากินก็กินแต่น้อยๆไม่กินมากกินพอรู้รสพอหายอยากและก็กินยาที่คุณหมอให้มาทุกๆวันไม่ขาด ความดันโลหิตของผมจึงอยู่ที่ 125/83 ชีพจร 74 บวกลบ5ขึ้นๆลงๆประมาณนี้แหละครับ

โรคปวดแขนข้างซ้ายอาการเหมือนเป็นตะคริว พอเอี้ยวคอจะเจ็บแขนและชาลงปลายมือ คุณหมอสมบูรณ์ สหจารุพัฒน์ แผนกศัลยกรรมกระดูกฯ รพ.นพรัตนฯ บอกว่ากระดูกต้นคอเสื่อม ต้องทำกายภาพบำบัด และกินยา Gabapentin 100 mg. หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น ครั้งละ 1 เม็ด, ยา Vitamin B1-6-12 หลังอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 เม็ด, ยา Biocalm 50 mg. หลังอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 เม็ด, ยา Naproxen 250 mg. หลังอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 เม็ด และยา Analgesic Balm ทาแขนข้างซ้ายเช้า-เย็น คุณหมอนัดตรวจอีกครั้งวันที่ 11พ.ย.54 และคุณหมอณัฐกานต์ บุญมามณี แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟูฯ รพ.นพรัตนฯ นัดตรวจและทำกายภาพบำบัดวันที่ 17,18,20,25,27,31ต.ค.54 และวันที่ 1,3,7,8,10,14,15,16พ.ย.54 ด้วยการประคบคอโดยให้นอนหงายใช้ผ้าขนหนูห่อแผ่นร้อนหนุนคอ, กระตุ้นไหล่แขนที่ปวดด้วยคลื่นไฟฟ้า และนั่งเก้าอี้ดึงคอ

ของฝากที่ไม่อยากได้ล่าสุดก็โรคไซนัสอักเสบ มีน้ำมูกอัดแน่นตรงรูจมูกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ต้องอ้าปากหายใจแทน รู้สึกเหม็นกลิ่นผักเน่าๆในจมูก ใบหน้าใต้ขอบตาด้านซ้ายบวมและปวดรอบๆเบ้าตาข้างซ้ายมีน้ำตาไหล คุณหมอสมพงษ์ วาจาจำเริญ แผนกหูคอจมูก รพ.นพรัตนฯ นัดตรวจ 18ต.ค.54 หลังจากตรวจและส่งไปเอกซเรย์จมูกและปากช่องคอ 2 ฟิล์มคุณหมอบอกว่าผมเป็นโรคไซนัสอักเสบที่จมูกข้างซ้าย และสั่งยาให้กิน 3 ขนาน ยา Amoksiklav 1 gm.(875+125) หลังอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 เม็ด, ยา Maxiphed 60 mg. หลังอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 เม็ด และยา Loratadine หลังอาหารเช้า ครั้งละ 1 เม็ด คุณหมอนัดตรวจอีกครั้งวันที่ 25 ต.ค.54

คงเป็นกรรมเก่าเน๊อะๆ..ตอนหนุ่มๆแน่นๆไม่เคยป่วยเป็นอะไร พอแก่ตัวลงชีพจรก็ลงเท้าเดินเข้าเดินออกทัศนาจร รพ.เกือบจะทุกวัน ตื่นเช้าขึ้นมาก็ยา..ยา..ยา..ยา.. สายบ่ายเย็นค่ำมืดดึกดื่นก่อนเข้านอนก็ยา..ยา..ยา..ยา.. ราษฎรเต็มขั้นรับเงินเดือน 500-600 อย่างเราไม่ต้องคิดไม่ต้องอยากกินอะไรที่อร่อยๆปากกันแล้ว วันๆกินยาเป็นกำมืออิ่มแทนข้าวไปเลย...อิอิ

@ งานนี้...ไม่ใครๆหรือผมเอง ก็ไม่พ้นภาวะเครียด กับมัน!! คลิกที่นี่...

ในคลิปตอนต้นเป็นการวัดความดันโลหิต ตอนท้ายๆเป็นการทำกายภาพบำบัดด้วยการประคบคอโดยให้นอนหงายใช้ผ้าขนหนูห่อแผ่นร้อนหนุนคอ, กระตุ้นไหล่แขนที่ปวดด้วยคลื่นไฟฟ้า และนั่งเก้าอี้ดึงคอ


วิธีสังเกตอาการมะเร็ง 15 ประเภท
By: HealthHealth

ใครๆก็รู้ว่าโรคมะเร็งถือเป็นโรคร้ายที่ใครๆต่างก็กลัวเกรง มันคร่าชีวิตผู้คนในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก หากเรารู้จักตรวจสอบสุขภาพด้วยตนเองไว้เบื้องต้นอาการของมะเร็งก็จะไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงจนถึงชีวิตและทำให้ต้องเสียทรัพย์สินมากมาย

อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆของร่างกายนั้นคุณสามารถสังเกตเห็นได้ ดังต่อไปนี้

1. มะเร็งปากมดลูก อาการมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งๆที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นการตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการมีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่า มีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง

3. มะเร็งรังไข่ อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ มักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่างๆทั่วร่างกาย บางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

5. มะเร็งปอด อาการมักมีอาการไอบ่อยๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลาย น้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบาก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้งๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง อาการปวดศีรษะนานๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่าและเห็นแสงเขียวๆแดงๆลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรงหรือการเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการมีก้อนบวมอยู่ในปากหรือที่ลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการเสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันที ทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียนออกมาเป็นเลือด ท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อยรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรือรู้สึกตื้อแม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวม หรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานาน ควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย

15. มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้ อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เมลาโนมา (Melanoma) คือ เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระ จุดด่างหรือไฝ โดยเฉพาะถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ

75 ไซนัสอักเสบ แตกต่างจาก หวัด อย่างไร

@ 4 ข้อเสนอนิติราษฎร์ "ลบล้างผลพวงรัฐประหาร 19 กันยา"
@ "พนัส ทัศนียานนท์" อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ.โต้15คำถามของอธิการนาซี และ แถลงการณ์กลุ่มทนายความและนักกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชน
@ ดูกันชัดๆๆๆๆๆ คำพิพากษาศาลฯยกฟ้อง ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน19ก.ย.2549 แล้วผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง
@ 026 โตไปไม่โกง???
@ 61> เปิดคำวินิจฉัยผู้พิพากษาเสียงส่วนน้อย ปฏิเสธอำนาจคณะรัฐประหาร!!!!!




ไซนัสอักเสบ แตกต่างจาก หวัด อย่างไร
By: KapookHealth

ฮัดชิ่ว!!!! จามอีกแล้ว ไออีกต่างหาก แถมปวดบริเวณใบหน้าด้วย ดูท่าจะไม่ใช่แค่เป็น "หวัด" ธรรมดาเสียแล้วล่ะมั้ง เกรงว่าจะเป็น "ไซนัสอักเสบ" แล้ว โรคไซนัส ไซนัสอักเสบ เป็นอย่างไรล่ะเนี่ย รักษาได้หรือไม่ ใครที่มีอาการต้องสงสัย ต้องมาอ่านเรื่อง ไซนัสอักเสบ ที่เรานำมาเสนอกันในวันนี้

ไซนัส คืออะไร

มารู้จัก ไซนัส กันก่อนดีกว่า ไซนัส (Sinus) ก็คือโพรงอากาศในกะโหลก ซึ่งเรียกว่า โพรงไซนัส มีทั้งหมด 4 ตำแหน่งเป็นคู่ๆ คือ

บริเวณหน้าผาก ใกล้กับหัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง (frontal sinus)

บริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง (ethmoid sinus)

บริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง (Maxillary sinus)

บริเวณกะโหลกศีรษะ ใกล้ฐานสมอง (sphenoid sinus)

โดยหน้าที่ของ ไซนัส มีส่วนทำให้กะโหลกศีรษะเบาขึ้น เวลาพูดมีเสียงก้องกังวานขึ้น (เพราะเป็นโพรงอากาศ) และเยื่อบุของไซนัสและจมูก จะผลิตน้ำมูกเมือกใสๆวันละ 0.5-1 ลิตร เพื่อดักจับฝุ่นละออง และสิ่งแปลกปลอมต่างๆในอากาศที่เราหายใจเข้าไป และเยื่อบุเหล่านี้จะมีขนเล็กๆพัดน้ำมูกลงไปด้านหลังของจมูก ผ่านช่องคอ ก่อนกลืนลงไปสู่กระเพาะอาหาร และจะถูกกรดในกระเพาะทำลายเชื้อโรคให้หมดไป

แล้ว ไซนัสอักเสบ ล่ะเกิดจากอะไร

ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) จะเกิดขึ้นเมื่อจมูกมีการติดเชื้อ มีการอักเสบ อาจเป็นเพราะอาการหวัด เป็นภูมิแพ้ มีสารระคายเคือง มีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในจมูก รวมทั้งการมีฟันกรามผุถึงโพรงรากฟัน การเป็นโรคหัด และเกิดอุบัติเหตุที่กระดูกบนใบหน้า จึงทำให้ท่อที่ติดต่อระหว่างโพรงไซนัส และจมูก เกิดอาการบวมแล้วตีบตัน จนมีน้ำเมือกในโพรงจมูกคั่งค้างอยู่ เมื่อมูกภายในสะสมมากขึ้นจะมีความหนืด และมีสภาพความเป็นกรด ทำให้เชื้อโรคเข้าไปเจริญเติบโตได้ดี จนกลายเป็นภาวะโพรงจมูกอักเสบ หรือ ไซนัสอักเสบ นั่นเอง

อาการของ ไซนัสอักเสบ

โรคไซนัสอักเสบ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1. ไซนัสอักเสบ แบบเฉียบพลัน คือไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถหายได้ภายใน 7 วัน อาการทั่วไปจะเหมือนไข้หวัด มีไข้ เมื่อเชื้อลุกลามเข้าสู่ไซนัสก็จะมีอาการปวดจมูก ปวดกระบอกตา หรือแก้มข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง น้ำมูกและเสมหะจะมีสีเหลืองอมเขียวมากขึ้น อาจปวดกระดูกขากรรไกรบน หรือปวดฟันบนด้วย โอกาสที่การติดเชื้อจะลุกลามมีสูง จึงควรรักษาอย่างจริงจัง เพื่อลดโอกาสที่จะกลายเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง

2. ไซนัสอักเสบ เรื้อรัง คือไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มีอาการมากกว่า 10 วัน และในช่วงที่เป็นนั้น อาการต่างๆไม่มีช่วงที่หายสนิท จะมีอาการปวดตื้อๆ มึนงง ร่วมกับคัดจมูกเรื้อรัง มีเสมหะเหนียวในลำคอตลอดวัน เพราะมูกจากไซนัสไหลลงมาทางจมูกนั่นเอง ประสิทธิภาพในการดมกลิ่น รับกลิ่นของจมูกจะลดลง และลมหายใจมีกลิ่นเหม็น

สาเหตุที่ไซนัสอักเสบเรื้อรัง เป็นผลจากผู้ป่วยได้รับการรักษาไซนัสอักเสบระยะเฉียบพลันในเวลาที่น้อย หรือสั้นเกินไป หรือไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือมีภาวะผิดปกติเป็นปัจจัยร่วมด้วย เช่น จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ พักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ เป็นต้น

กลุ่มเสี่ยง ไซนัสอักเสบ

ไม่ว่าใครก็สามารถเป็น ไซนัสอักเสบ ได้แม้แต่เด็กแรกเกิด แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็น ไซนัสอักเสบ ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป คือ

1. คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก เพราะเมื่อเกิดอาการแพ้จะเหมือนคนเป็นหวัด เยื่อบุจมูกจะบวม รูเปิด ไซนัสจะตีบตันทำให้เกิดการอักเสบในไซนัสได้

2. คนที่มีความผิดปกติของช่องจมูก เช่น ผนังกั้นระหว่างช่องจมูกคด ทำให้ช่องจมูกแคบกว่าปกติเกิดอาการแน่นคัดจมูก และขัดขวางการไหลเวียนตามปกติของน้ำมูก ที่จะไปทางด้านหลังทำให้มีโอกาสเกิด การอักเสบติดเชื้อง่ายขึ้น

3. คนที่สูบบุหรี่และคนที่อยู่ในเขตมลภาวะเป็นพิษ จะมีผลทำให้ภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบมากขึ้น

4. มีคนกล่าวถึงการว่ายน้ำสระที่ใส่น้ำยาคลอรีน หรือฆ่าเชื้อด้วยโอโซนอาจทำให้มีโอกาสเป็นไซนัสอักเสบเกิดขึ้น เพราะว่ามีการระคายเคืองของเยื่อบุเกิดขึ้น

การวินิจฉัยโรค เป็นหวัด หรือ ไซนัสอักเสบ

อาการต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับไข้หวัดธรรมดา เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อย เจ็บคอ มักจะหายภายใน 7-10 วัน ส่วนอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ อาจเป็นต่อเนื่องถึง 2-3 สัปดาห์ แต่ความรุนแรงจะลดลง จนหายได้ในที่สุด

แต่ถ้าผ่านไป 10 วันแล้วอาการต่างๆของไข้หวัด เช่น เป็นไข้หวัด ไอถี่ โดยเฉพาะเวลากลางคืนไม่ดีขึ้นเลย หรือดีขึ้นแล้วกลับมาทรุดลง หรือเป็นซ้ำอีก ที่สำคัญคือปวดบริเวณหน้า ลักษณะเช่นนี้อาจเป็นไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียตามมาได้ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการคัดแน่นจมูก น้ำมูกไหลลงรูจมูก หรือไหลลงคอ หรืออาจปวดตื้อด้านข้างจมูก ใบหน้า ตามมา

หากมีอาการเช่นนี้ แพทย์จะตรวจโพรงจมูกและไซนัส โดยใช้กล้องส่องตรวจพิเศษ เพื่อวินิจฉัยอาการ โดยอาการแสดงจำเพราะว่าเกิดไซนัสอักเสบคือ พบมูกหนองที่บริเวณช่องข้างจมูกชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางระบายมูกจากโพรงไซนัสเข้ามาสู่ช่องจมูก และในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจเก็บมูกหนองไปเพราะเชื้อตรวจ

นอกจากนี้ แพทย์อาจพิจารณาตรวจทางรังสีวิทยาร่วมด้วย โดยการเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพราะจะสามารถบอกรายละเอียดของโรค และโครงสร้างทางกายวิภาคโพรงจมูกและไซนัสได้เป็นอย่างดี และสามารถใช้วินิจฉัยแยกจากโรคอื่น ที่มีลักษณะอาการคล้ายกับไซนัสอักเสบได้ด้วย

โรคแทรกซ้อนของ ไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบ ปกติไม่อันตรายมาก เพียงแค่กินยาก็หาย แต่โรคแทรกซ้อนที่อาจพบได้บ้างก็คือ

1. การติดเชื้อที่อาจลุกลามเข้าไปในกระบอกตา ซึ่งจะทำให้เนื้อเยื่อรอบๆตาอักเสบและเกิดเป็นฝีรอบตา (Periorbital abcess) มักพบในเด็ก หรือคนชรา ความรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว โดยจะพบว่า มีอาการตาบวมข้างเดียว แดงรอบๆ และในลูกตา หนังตาบวมกดเจ็บ ลูกตาโปน สามารถรักษาได้โดยการฉีดยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม และการผ่าตัด

2. โรคแทรกซ้อนขึ้นสมอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีใต้เยื่อหุ้มสมอง ซึ่งมักพบในเด็ก หรือคนชรา ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงที่ทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน

3.ริดสีดวงจมูก คือ ก้อนในจมูกที่เกิดจากภาวะไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือเกิดจากภูมิแพ้ ไม่ลุกลามไปที่อื่น แต่เบียดกระดูก หากทานยาแก้แพ้จะทำให้ยุบลงได้บ้าง การรักษาทำได้ด้วยการผ่าตัด

แต่อาการแทรกซ้อนเหล่านี้พบได้ไม่บ่อยนัก ในรายที่มีอาการเรื้อรังอาจจะมีความสัมพันธ์กับโรคทางปอด หลอดลมอักเสบ ไอเรื้อรัง หอบหืด และหูชั้นกลางอักเสบได้

การรักษา โรคไซนัส อักเสบ

มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งเมื่อเป็นไซนัสอักเสบที่เกิดจากไวรัส แจะสามารถหายเองได้ไม่เกิน 7 วัน ด้วยการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี คือ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ อยู่ในสถานที่มีอากาศถ่ายเทดี ออกกำลังกายตามความเหมาะสม ทานอาหารที่มีประโยชน์ ร่วมกับทานยาตามอาการ โดยการรักษาโรคไซนัสอักเสบ จะแบ่งเป็นการรักษาแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง คือ

การรักษาไซนัสอักเสบเฉียบพลัน รักษาโดย

ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งควรได้รับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 10-14 วัน

ยาพ่นจมูกชนิดสเตียรอยด์ ควรใช้ควบคู่ไปกับยาปฏิชีวนะ

ยาลดการบวม มีทั้งชนิดรับประทานและชนิดพ่นหรือหยอดจมูก ช่วยบรรเทาอาการคัดแน่นจมูก ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 3-5 วัน

ยาต้านฮิสตามีนหรือยาแก้แพ้ มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ทั้งที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการง่วงและไม่ง่วง

การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เป็นการรักษาอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่าย และช่วยให้อาการทางไซนัสดีขึ้น ลดความหนืดของน้ำมูก และช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ชนิดมีขนอ่อนไว้พัดโบกในโพรงจมูกและไซนัส

การสูดดมไอน้ำร้อน

การรักษาไซนัสอักเสบเรื้อรัง

หากใช้การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบเป็นซ้ำหลายๆครั้ง รวมถึงรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากการอักเสบเฉียบพลันทั้งต่อทางตา,สมองและ กระดูกที่อยู่บริเวณใกล้เคียง แพทย์อาจพิจารณาใช้การผ่าตัดผ่านกล้องเอนโดสโคปเข้าช่วย เช่น การเจาะล้างไซนัส เพื่อล้างมูกหนองที่คั่งอยู่ในท่อออกไป หรือการผ่าตัดขยายรูเปิดของไซนัส

ปัจจุบันการตรวจรักษา และการผ่าตัดมีความปลอดภัยสูงมาก และมีประสิทธิภาพ ยังคงรักษาสภาพโครงสร้างหลักที่สำคัญของช่องจมูกไว้ได้ในสภาพปกติดังเดิม อีกทั้งผู้ป่วยก็เสียเลือดไม่มาก และฟื้นตัวได้เร็ว




วิธีการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือด้วยตัวเอง

1. หาซื้อน้ำเกลือ หรืออาจผสมขึ้นเอง โดยใช้น้ำสะอาด 750 ซีซี. ผสมกับเกลือสะอาด 1 ช้อนชา หรืออาจใช้ 0.9% normal saline ที่ไม่มีน้ำตาลผสมอยู่

2. เทน้ำเกลือลงในแก้วสะอาด

3. ดูดน้ำเกลือจากแก้วสะอาดเข้าในลูกยาง หรือหลอดฉีดยา (Syringe) ที่ไม่มีเข็ม หรือใส่ในขวดยาพ่นจมูก

4. พ่นน้ำเกลือจากลูกยาง หรือหลอดฉีดยาเข้าในจมูกข้างใดข้างหนึ่ง ในท่าก้มหน้า กลั้นหายใจในระหว่างฉีดน้ำเกลือเข้าสู่จมูก อ้าปากเล็กน้อย ค่อยฉีด ๆ เข้าจมูก

5. หายใจออก พร้อมสั่งน้ำมูก หากมีน้ำมูกหรือน้ำเกลือไหลลงคอ ให้กลั้วคอบ้วนทิ้ง ถ้ายังไม่โล่งก็ทำซ้ำอีกได้จนน้ำมูกหมด

6. ทำซ้ำแบบเดียวกับรูจมูกอีกข้าง

ข้อแนะนำในการดูแลตัวเอง

ผู้ที่เป็นไซนัสอักเสบควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้เกิดอาการหวัด ภูมิแพ้ เพราะคนส่วนใหญ่ที่ป่วยเป็นไซนัสอักเสบ มักเกิดมาจากโรคภูมิแพ้ของจมูก ดังนั้นหากรู้ว่า อะไรเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ ก็ควรหลีกเลี่ยง

ควรงดว่ายน้ำ ดำน้ำ ขึ้นเครื่องบิน ประมาณ 2 สัปดาห์ ในช่วงที่อาการกำเริบ

ไม่ควรรักษากันเองตามแบบพื้นบ้าน เช่น ใช้สารกรดบางอย่าง หยอดเข้าจมูก (ทำให้มีน้ำมูกไหลออกมามาก เพราะเกิดการระคายเคืองต่อเยื่อจมูก) อาจทำให้เกิดการอักเสบ และจมูกพิการได้

หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

ดื่มน้ำมาก พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเท

การป้องกัน โรคไซนัสอักเสบ

โดยทั่วไปคือการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ไม่ให้เป็นหวัด โดยพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือบริเวณที่มีฝุ่นควันมากๆ รวมทั้งพยายามรักษาสุขภาพของปากและฟันให้ดี ไม่ให้ฟันผุ และถ้าเป็นหวัดแล้ว ก็รีบรักษาให้หายขาดแต่เนิ่นๆ