รายนามนายกรัฐมนตรีหญิงของโลก คลิกที่นี่...
ทองคำแท่ง วันนี้(8ส.ค.54) ขายออก บาทละ 24,050 ซื้อเข้า บาทละ 23,950
By: ประธานเกา
นี่ถ้าท่านซื้อ ทองรูปพรรณ+ค่ากำเหน็จ เข้าไป 400-500 บาท จะตก บาทละ 24,550 เลยทีเดียว
ซื้อทอง 1 สลึง น้ำหนัก แค่ 3.8 กรัม ต้องใช้เงิน ประมาณ 6 พันกว่าบาท ถึงจะซื้อได้
ซื้อแหวนหมั้นสาว เอาแค่ ครึ่งสลึง น้ำหนัก 1.9 กรัม ใช้เงิน 3 พันกว่าบาทแล้ว
ใครที่คิด จะแต่งเมียตอนนี้ เห็นราคาทองแล้วคงเป็นลมแน่ครับ แนวโน้ม ราคาทอง ไปแตะที่ บาทละ 25,000 แน่นอนครับ คงไม่เกินสิ้นปีนี้
ส่วนท่าน ที่เก็บทองไว้ อย่าเพิ่งใจร้อนขายออก ผมคาดว่าราคาทอง คงไม่มีตก มีแต่จะเพิ่ม เห็นฝรั่ง แถวบ้าน มันวิเคราะห์ให้ฟัง
ค่าเงิน ดอลล่าร์ คงจะตกลงมาเป็น 25 บาท ต่อดอลล่าร์ ในอนาคตอันไม่ใกล้นี้ ใครที่ชอบถือเงิน ดอลล่าร์ คงจะเจ็บตัวไม่ใช่น้อย เทดอลล่าร์ออก มาเก็บทองเอาไว้ ผมว่าตอนนี้ยังทันครับ
ต่อไปนี้ คำสุภาษิตที่ว่า เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร คงจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป ตีว่า หัวคนเรา หนัก 5 กิโล ทอง 1 กิโล หนัก 65.7 บาท คูณ 5 ตก 328.9 บาท คูณราคาทอง 24,050
เท่ากับ 7 ล้าน 9 แสน กว่าบาทเลยทีเดียว ส่วนท่านที่ไม่มีอะไร จะให้เก็บ ไม่ต้องเสียใจครับ เพราะว่าผมก็เป็นเหมือนท่าน...อิอิ
ภาพหมู่นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 ข. ปีการศึกษา 2505 (รุ่นที่ 14) โรงเรียนเมธีวุฒิกร จังหวัดลำพูน (ผมยืนตรงไหน?)
By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร
ผมเหรอครับ!! นับง่ายๆ เอาเลขท้าย พ.ศ.สองตัวบวก 10 นั่นแหละอายุของผมล่ะ ครบ 64 ปีบริบูรณ์วันที่ 27 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านนี่แหละครับ
ผมประสบความสำเร็จในชีวิตระดับหนึ่ง เรียนจบก็ทำงานตั้งหลักตั้งฐานผ่อนบ้านซื้อที่ดินและมีครอบครัว ต่อสู้กับชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวจนชาชิน ฐานะก็พอมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนหรือเป็นกังวลเหมือนคนแก่อีกหลายๆคนบนโลกเก่าๆผุๆใบนี้
หลังจากผมเรียนหนังสือจนจบชั้นสูงสุด(ในสมัยนั้น)ของจังหวัดลำพูน ปี พ.ศ. 2506 ผมได้รับโอกาสจากท่านผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือให้ไปฝึกงานที่ นสพ."ไทยเหนือ" โรงพิมพ์"สงวนการพิมพ์" จังหวัดเชียงใหม่ ได้ฝึกงานและกินนอนอยู่ที่นั่นสองปีเต็มๆ ได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 200 บาท ซึ่งสมัยนั้นนับว่ามากมายพอสมควรสำหรับเด็กฝึกงาน เพราะค่าแรงงานขั้นต่ำที่จังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้นเขาจ่ายกันที่ 8 บาทต่อวัน
ท่านเจ้าของ ผู้จัดการ และบรรณาธิการ คือ คุณสงวน โชติสุขรัตน์ ท่านเป็นนักโบราณคดีเมืองล้านนาด้วย ท่านเป็นคนมีน้ำใจดี โอบอ้อมอารี และมีเมตตา ท่านอบรมสั่งสอนและถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ทั้งทางด้านหนังสือพิมพ์ และงานในโรงพิมพ์แขนงต่างๆ ให้แก่ผมเหมือนกับผมเป็นลูกหลานของท่านคนหนึ่ง ท่านสอนให้ผมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของการศึกษา และการใฝ่หาความรู้ให้กับตัวเอง ท่านย้ำอยู่เสมอๆไม่ให้ผมทิ้งการเรียน และแนะนำให้ผมเอาเวลาว่างหลังเลิกงานตอนเย็นไปเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนใกล้ๆโรงพิมพ์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในปีถัดไป
ครั้นถึงปลายปี พ.ศ. 2508 ผมจึงกราบเท้าอำลาท่านผู้มีพระคุณ "คุณสงวน โชติสุขรัตน์" เบน "เข็มทิศชีวิต" ของตัวเอง มุ่งหน้าสู่ "กรุงเทพมหานคร" ด้วยปณิธานอันแน่วแน่และแรงกล้า สอบเข้าเรียนต่อจนจบวารสารศาสตร์ แล้วไปฝึกงานที่ นสพ.เดลินิวส์สมัยอยู่สี่พระยาโน่น
จากนั้นชีวิตหักเหผมไม่ได้ทำงาน นสพ.ฉบับไหนเลย แต่จับผลัดจับผลูถูกเพื่อนลากเข้าไปทำงานในบริษัทคอมพิวเตอร์ที่พ่อของมันเป็นหุ้นส่วน มะงุมมะงาหราตั้งแต่คอมฯตัวใหญ่โตมโหฬารเท่าตึก 3-4 ชั้นจนมันเล็กลงๆเหลือกระจี๊ดเดียวเท่าเมล็ดถั่วเขียว ผมเพลิดเพลินกับงานที่ไม่ได้อยู่ในสายที่เรียนมาจนกระทั่งเกษียณอายุ...ได้รางวัลปลอบใจจากบริษัทฯหลายตังค์
บั้นปลายของชีวิตผมจึงมีความสุขมีเวลาว่างอยู่กับหน้าจอคอมฯทุกๆวัน ค้นหาข้อมูลและเก็บเกี่ยวประสบการณ์รื้อฟื้นความทรงจำในอดีตแล้วขุดขึ้นมาเล่ามาเขียนให้คุณผู้อ่านที่เป็นแควนๆติดตามกระทู้ของผมไง และทุกวันนี้ผมยังทำเว็บบล็อก UpDate ข้อมูลเองนะครับ
ว่างๆ ก็ขอเชิญชวนทุกๆท่าน Click เข้าไปอ่านเข้าไปหาความรู้กันได้นะครับ รับรองมีสาระบันเทิงและบทความที่ให้ความรู้อย่างลึกซึ้ง เพียบ!
ความสุขของผมทุกวันนี้จึงมีเหลือเฟือมากพอที่จะแบ่งปันแจกจ่ายให้ทุกๆท่านได้อย่างเต็มที่ด้วยความเต็มใจครับ