PlayListนี้ เริ่มต้นด้วย "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน" เรียงลำดับตั้งแต่ ตอนแรก ถึง ตอนปัจจุบัน ..ท้ายเพลย์ลิสท์เป็นคลิป "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกระทำขัดรัฐธรรมนูญ : จะทำอย่างไร?" วันพุธที่ 1 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 - 16.00 น. ห้องกมลทิพย์ ชั้น 2 โรงแรมสุโกศล (สยามซิตี้เดิม) คลิปนี้..วิทยากร รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นเริ่มนาที 0:14:24
คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...
หรือคลิกที่นี่.. @ AsiaUpdate "เล่าเรื่อง ตาดูดาวเท้าติดดิน"

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

คลิกที่นี่ ดูบนyoutube...

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

73 เตือน!! ปวดต้นคอ ไหล่ ปวดร้าวเสียวและชาที่แขนและมือ อย่านอนใจ


40... ข้ออ้างของคนที่ไม่อยากเห็นความเจริญคือคำว่า"ทำไม่ได้"
41... ผมโคตรสงสัย...ทำไมทักษิณเขาบินไปไหนมาไหนได้ พ่อแม่เมิงจะชักตายหรือครับ
42... เสียดายเวลาที่ผ่านมา 5 ปีมากๆเลยนะฮ้า
43... Wow!!! พรุ่งนี้(27ส.ค.54) นายกฯปู ลดราคาน้ำมัน
44... ประชาชนกำลังมีความสุข...อย่าชักใบให้เรือเสียเลยพ่อมหาจำเริญ
46... ก๊อก ๆ ๆ รมต.ที่ดูแลสื่อของรัฐ ทำอะไรอยู่ ?????
Click...ถ้ากลัวเด็กติดgame ก็ไปถามคนป่าแอฟริกัน หรือว่า พวกเด็กๆใน อูกันดา รวันดา นะครับ


นักเรียนโรงเรียนบ้านสันกำแพง จ.เชียงใหม่ เคยได้รับแจกคอมพิวเตอร์พกพาจากองค์กรการกุศล เมื่อ 3 ปีก่อนตั้งแต่อยู่ชั้น ป.1 ปัจจุบันอยู่ชั้น ป.3 นักเรียนเหล่านี้ ได้ใช้งานทำการบ้าน ส่งคุณครูด้วยคอมพิวเตอร์พกพาอย่างคล่องแคล้ว ส่วนครูผู้ดูแลมองว่า ประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดกับเด็กอย่างแท้จริง อยู่ที่ครูผู้ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด และการออกแบบ กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์พกพานี้

แต่ยังไงเด็กๆก็ยังต้องพัฒนากล้ามเนื้อ มือ ตา ซึ่งต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติจริง เช่น การวาดภาพ การเขียนหนังสือ เพราะระบบประสาทและร่างกายมนุษย์กับการพัฒนาสมองจะเติบโตสัมพันธ์กัน Tablet PC ก็คือเครื่องมือที่ช่วยเสริมการเรียนรู้ ที่เด็กไทยมีโอกาสที่จะได้รู้จักนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ตั้งแต่เล็กๆ เพื่ออนาคตจะได้รู้จักเอาผลิตผลทางเทคโนโลยีมาพัฒนาตัวเองต่อไป

นายกฯปูเยี่ยมเยือน บรูไน 10 กันยายน 2554





เตือน!! ปวดต้นคอ ไหล่ ปวดร้าวเสียวและชาที่แขนและมือ อย่านอนใจ รีบไปพบหมอ...ตรวจหาสาเหตุและรักษาโดยเร็ว ก่อนที่จะเป็นอัมพาต
By: หมอต๋อ

คอของเราประกอบด้วยกระดูกคอ (Cervical Spine) ทั้งหมด 7 ข้อ หรือที่เรียกว่ากระดูก C1-C7 ระหว่างกระดูกแต่ละข้อมีแผ่นกระดูกอ่อนหรือที่เรียกว่าหมอนรองกระดูกคั่นกลางทำหน้าที่ป้องกันการเสียดสีและเป็นเสมือนโช๊คอัพเพื่อดูดซับและกระจายแรงอัด ส่วนกระดูกที่เราคลำได้เป็นตุ่มๆ ที่อยู่ด้านหลังของคอนั้นเป็นกระดูกที่ยื่นออกจากส่วนหลังของกระดูกคอ ตรงกลางของกระดูกนี้มีลักษณะเป็นรูให้ประสาทไขสันหลังและหลอดเลือดสอดผ่าน ระหว่างรอยต่อของกระดูกคอแต่ละข้อจะมีช่องว่างให้รากประสาทงอกออกมา เพื่อนำคำสั่งจากสมองไปยังกล้ามเนื้อที่ไหล่ แขนและมือ และรับความรู้สึกส่วนต่างๆ กลับไปยังสมอง

กระดูกคอมีขนาดเล็กแต่ต้องแบกรับน้ำหนักของศีรษะที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา จึงเกิดความบอบช้ำบาดเจ็บได้ง่ายและเสื่อมได้เร็วกว่า ส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท หลอดเลือดและไขสันหลังที่อยู่บริเวณเดียวกัน ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดต้นคอ ไหล่และสะบัก ปวดร้าวเสียวและชาที่แขนและมือ พร้อมทั้งอาการอื่นๆ ที่สลับซับซ้อน จนบางครั้งนึกไม่ถึงว่าการเจ็บปวดทรมานนี้มาจากกระดูกคอเรานี่

สาเหตุโรคกระดูกคอที่พบบ่อย

ภาวะกระดูกคอเสื่อม กระดูกคอที่เสื่อมลงตามวัยนั้นอาจจะไปกดทับเส้นประสาท หลอดเลือดหรือไขสันหลังที่อยู่บริเวณเดียวกัน ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป

อิริยาบถหรือท่าที่ผิดสุขลักษณะ เช่น การหนุนหมอนสูงเกินไป การทำงานในท่าเดียวนานๆ นั่งเขียนหนังสือ นั่งดูเอกสาร นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ นั่งดูทีวี เป็นต้น

คอเคล็ดหรือยอก เกิดจากคอมีการเคลื่อนไหวเร็วเกินไปหรือรุนแรงเกินไป เช่น การก้มเพื่อมองหาของใต้โต๊ะ การเอี้ยวตัวเพื่อหยิบของข้างหลัง การหกล้ม การเล่นกีฬาหรือโยคะ การนวดหรือการดัดตัว เป็นต้น ทำให้เส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อคอถูกยืดมากหรือมีการฉีกขาดจนเกิดอาการปวดคอ

ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ

ข้ออักเสบ ข้ออักเสบเรื้อรังบางชนิดอาจทำให้กระดูกคออักเสบไปด้วย เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น

อาการอักเสบของร่างการ เช่น คออักเสบ หูอักเสบ เป็นต้น อาจทำให้เป็นโรคกระดูกคอหรือกระตุ้นให้อาการหนักขึ้น

ความเครียดทางจิตใจ ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อคอตึงตัวเป็นประจำจนส่งผลกระทบต่อกระดูกคอได้

โรคกระดูกคอมีชนิดใดบ้าง

กระดูกคองอกกดทับรากประสาท กระดูกคอแต่ละข้อมีรากประสาทงอกออกจากไขสันหลังเพื่อควบคุมการทำงานของไหล่แขนและมือ เมื่อกระดูกคอเสื่อมลงตามวัย ข้อต่อจะหลวงหรือไม่แข็งแรง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดคอเรื้อรัง ถึงแม้ว่าบางรายอาจไม่มีอาการปวดคอก็ตาม แต่ก็จะรู้สึกเมื่อยคอเป็นประจำ

ต่อมาร่างกายมีการปรับสภาพโดยพยายามสร้างกระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทนส่วนที่เสื่อมไป กระดูกที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้เรียกว่า หินปูน หรือ กระดูกงอก ประกอบกับหมอนรองกระดูกที่เสื่อมและบางลง ทำให้ช่องว่างระหว่างข้อกระดูกคอแคบลง ในที่สุดไปกดทับจากประสาทและเกิดอาการปวดศีรษะ ปวดต้นคอและสะบัก

บางครั้งรู้สึกเสียวหรือชาและมีเสียงกรอบแกรบเวลาหันคอ หากปล่อยไว้เรื้อรังจะมีอาการปวดร้าวเสียวหรือชาที่แขนและมือ อาการจะเป็นมากเวลาเงยหน้า อาจมีการฝ่อตัวของกล้ามเนื้อที่แขนและมือด้วย

กระดูกคอกดทับไขสันหลัง หินปูนที่เกาะตามกระดูกคอหรือกระดูกคอที่เสื่อมจะทรุดลงมากดทับไขสันหลัง ทำให้เกิดอาการปวดมึนศีรษะ แขนชา ปวดเมื่อย อ่อนแรงโดยเฉพาะหัวเข่าจะรู้สึกอ่อนแรง เวลายืนจะโคลงเคลง ก้าวขาไม่ค่อยออก ผิวหนังปวดแสบ ปวดร้อน อาจควบคุมปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้และสุดท้ายอาจเป็นอัมพาต

กระดูกคอกดทับหลอดเลือดแดง กระดูกคอมีรูให้เส้นประสาทและหลอดเลือดแดงสอดผ่าน เมื่อกระดูกคอและหมอนรองกระดูกเสื่อม ลงจะทำให้รูนี้แคบลง หลอดเลือดแดงก็จะเป็นตะคริวหรือถูกกดทับเลือดจึงไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการปวดเวียนศีรษะ ปวดตุบๆ ที่ท้ายทอย สายตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน คลื่นไส้ อาเจียน หูอื้อ วูบล้มลงอย่างกะทันหัน แต่ไม่หมดสติ สามารถลุกขึ้นได้เองอย่างรวดเร็วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แขนขาอ่อนแรง แขนชา หยิบของแล้วร่วง เวลาเงยหน้าหรือหันคออย่างกะทันหันจะมีอาการแขนขาอ่อนแรง ฯลฯ

กระดูกคอกดทับประสาทซิมพาเธติก ประสาทซิมพาเธติกควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ความดันโลหิต การขยับตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ตลอดจนกล้ามเนื้อเรียบในอวัยวะและต่อมขับหลั่งต่างๆ ในร่างกาย หากกระดูกคอหรือหมอนรองกระดูกคอเสื่อมและกดทับเส้นประสาท ก็จะเกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน รู้สึกศีรษะหนักๆ ปวดท้ายทอย สายตาพร่า ปวดแน่นเบ้าตา ตาแห้ง เห็นแสงว็อบแว็บ ใจสั่น หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูงขึ้น ฯลฯ

ปวดคอเนื่องจากกล้ามเนื้อตึงตัว กล้ามเนื้อบริเวณคอมีโครงสร้างซับซ้อนและทอสานเกี่ยวพันกันเป็นจำนวนมาก เมื่อเราอยู่ในท่าเดียวนานๆ เช่น ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ นั่งดูทีวี เขียนหนังสือ เป็นต้น กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณคอก็จะตึงตัว ทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดีจนเกิดอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยต้นคอ และไหล่แล้วจะลามไปที่สะบักและแขนด้วย

เมื่อกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึงเกร็งนานๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อกระดูกคอ ทำให้กระดูกคอเคลื่อนและเกยทับกันได้เช่นกัน ส่วนการหนุนหมอนที่สูงเกินไปหรือผิดท่าจนทำให้เกิดอาการคอตกหมอนนั้นก็เกิดจากการตึงตัวของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อคอเช่นกัน แต่ผู้ที่มีอาการคอตกหมอนเป็นประจำแสดงว่ากระดูกคอเริ่มเสื่อมแล้ว



หากมีอาการปวดแขน แล้วเกิดความสงสัยว่า เป็นเพราะอะไรถึงได้ปวดแขน อย่าเดา...เนื่องจากอาการปวดแขนเกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้

1. ส่วนของคอ เช่น กล้ามเนื้อคออักเสบ หรืออาจจะเกิดจากข้อต่อคออักเสบ หรือที่รุนแรงกว่านั้นคือหมอนรองกระดูกสันหลังคอกดทับเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดแขน หรือปวดร้าวมาที่แขนได้

2. กล้ามเนื้อบ่าอักเสบ ทำให้มีอาการปวดแขนได้

3. เอ็นกล้ามเนื้อไหล่อักเสบ

4. กล้ามเนื้อสะบักอักเสบ

5. ข้อไหล่ติด

6. เอ็นกล้ามเนื้อข้อศอกอักเสบ เช่น tennis’ elbow หรือ golf ’s elbow

7. เส้นประสาทอักเสบ

ฯลฯ

ลักษณะอาการ จะปวดแขนส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น ปวดต้นแขนด้านหน้าหรือด้านหลัง ปวดแขน หรือในบางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดคอ, ปวดไหล่, ปวดบ่า, ปวดสะบัก, ปวดหัว, ปวดข้อศอก, ปวดมือ หรือปวดนิ้ว หากมีอาการชาแขน มือ ร่วมด้วย หากเป็นมากอาจจะมีอาการอ่อนแรงของแขน หรือมือร่วมด้วย ควรรีบตรวจหาสาเหตุและรีบรักษาโดยเร็ว หากปล่อยอาการลุกลามมากขึ้น ในบางรายเริ่มจากปวดแขนจนปวดทั้งตัวได้

รีบไปพบหมอ...ตรวจหาสาเหตุและรักษาโดยเร็ว ก่อนที่จะเป็นอัมพาต

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

72 ขออนุญาตมองต่างมุมในกรณีคุณทักษิณนะครับ


นายกฯยิ่งลักษณ์แก้ปัญหาน้ำท่วมแบบ 2P 2R

เมื่อวาน (20ส.ค.54) นั่งฟัง นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนที่เกี่ยวข้องผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อหาแนวทางแก้ไขและช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยช่วงหนึ่งได้กล่าวถึง อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ว่า จะเป็นอำเภอนำร่องเป็น "บางระกำโมเดล" ในการทำงานรับมือกับสถานการณ์น้ำ

เท่าที่นั่งฟังนายกฯเลคเช่อร์ ให้ผู้เกี่ยวข้องแก้ปัญหาแบบ 2P 2R แล้ว แสดงให้เห็นว่า นายกฯปู ได้ทำการบ้านมาอย่างดี เพราะได้มีการคิดแนวทางแก้ปัญหามาก่อนที่จะเข้าประชุม ไม่ได้มาด้นสด แบบนายกฯบางท่าน ต้องยกนิ้วให้จริงๆ

นโยบาย 2P 2R ของท่านนายกฯ พีแรก Preparation คือการเตรียมการแก้ปัญหาล่วงหน้า พีที่สอง Prevention คือการป้องกันล่วงหน้า ส่วน อาร์ที่หนึ่ง Response คือการแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว และ อาร์สุดท้าย Recovery คือการช่วยเหลือหลังน้ำลด

เห็นวิสัยทัศน์อย่างนี้ ก็ต้องยกนิ้วให้นายกฯปู เพราะเป็นการพิสูจน์กึ๋นการทำงานระดับหนึ่งเชิงรุก ไม่ใช่รอรับรายงาน และปล่อยให้ข้าราชการประจำแก้ปัญหาไป ตามมี ตามเกิด อย่างที่ผ่านมา



ขออนุญาตมองต่างมุมในกรณีคุณทักษิณนะครับ
By: ทวดเอง

เดิมทีผมเห็นด้วยนะครับกับเรื่องที่ให้คุณทักษิณหยุดการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ เพื่อไม่ให้น้องสาวต้องเหนื่อย แต่พอมาถึงวันนี้ หลังจากได้ยินสื่อฯหลายสื่อฯพูดในทำนองเดียวกัน แม้กระทั่งบางสื่อฯพูดขนาดว่า อยากให้คุณทักษิณเงียบสนิท ทำตัวให้เหมือนไม่มีตัวตนในโลก

แล้วผมก็เห็นถึงความพยายามโจมตีในทุกเรื่อง หลายเรื่องอย่างอินเตอร์โพลก็เป็นเรื่องเท็จ เรื่องคืนพาสปอร์ตแดงก็เป็นเรื่องไม่จริง ส่วนประเด็นเรื่องการให้วีซ่าเข้าญี่ปุ่น ก็ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ถ้าคุณทักษิณได้เข้าไปญี่ปุ่นเมื่อไหร่ ประเทศไทยจะถึงกาลอวสานซะงั้น แล้วยังมีสภาการหนังสือพิมพ์ออกมาพูดในทำนองมีการซื้อสื่อฯของพรรคเพื่อไทย ซึ่งล้วนแต่มุ่งโจมตี เพื่อหวังดีสเครดิตรัฐบาล หรือแม้กระทั่งหวังล้มรัฐบาลเลยทีเดียว

แม้กระทั่งล่าสุดนายตุลย์ออกมาเคลื่อนไหว กดดันญี่ปุ่น จากรถที่นำไปใช้ในภารกิจนี้ ก็ดันเป็นคันเดียวกับที่ ปชป. ใช้ตอนหาเสียงเสียด้วย อย่างนี้จะให้แปลความหมายว่าอย่างไรกันครับ ถ้าไม่ใช่การเล่นการเมืองทั้งในสภาและนอกสภา นี่คือการเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรตามคำพูดของคุณอภิสิทธิ์

เรื่องเหล่านี้แหละครับทำให้ผมต้องออกมายืนมองประเทศในมุมที่กว้างขึ้น แล้วผมก็พบว่า ต่อให้คุณทักษิณไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย ก็ต้องถูกโจมตีจากกลุ่มคนเดิมๆที่ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง และคุณปูที่เป็นน้องสาวของคุณทักษิณก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นน้องสาวคุณทักษิณตลอดไป แล้วอย่างนี้พวกเราจะถือว่าเป็นความผิดที่ต้องยอมให้พวกเขาเหล่านั้นอย่างนั้นหรือครับ

และถ้าจะให้คุณทักษิณทำตัวเหมือนไม่มีตัวตนดังเช่นสื่อฯบางท่านให้ความคิดเห็นยิ่งไปกันใหญ่เลยครับ ก็ที่พวกเราต่อสู้กันอยู่ ไม่ใช่เพื่อความเท่าเทียมกันหรือครับ ไม่ใช่ต้องการสิทธิและเสรีภาพหรอกหรือ เมื่อประชาชนให้ฉันทามติมาอย่างนี้แล้ว ทำไมคุณทักษิณจึงต้องเสียสละมากมายขนาดนั้นล่ะครับ ทำไมเราจึงยังคงกลัวพวกผู้แพ้ทั้งหลายอีกหล่ะครับ ทำไมเสียงของคนเหล่านั้นยังคงเสียงดังกว่าคนอีกกลุ่มล่ะครับ ทั้งๆที่หลายปีที่ผ่านมา ก็เพียงพอทีจะพิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า พวกนี้ไม่เคยทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศแม้สักนิดเดียว มีแต่สร้างความแตกแยก ความเสื่อมเสีย อีกทั้งยังคงหวังผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดกับประเทศ อย่างนี้แล้ว พวกเรายังต้องเกรงใจกันอีกหรือ? พวกเรายังต้องคร้ามเกรงพวกเหล่านี้หรือครับ พวกเราจะยอมให้กับเหล่าพวกสมองด้านหน้าบกพร่องอย่างนั้นหรือครับ

ความเห็นส่วนตัวของผม ผมคิดว่า พวกเราก็เข้าทำนองหมาป่ากับลูกแกะ ที่ต่อให้ไม่ทำอะไรเลย พวกหมาป่าก็ต้องหาเรื่องขม้ำลูกแกะอยู่วันยังค่ำ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราโดนมาหลายเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่อง อย่าว่าแต่คนไทยด้วยกันเลยนะครับ แม้แต่ต่างประเทศก็ยังดูออก แล้วเราจะทนอยู่อย่างเก่า โดยไม่คิดแก้ไข เปลี่ยนวิธีใหม่เลยหรือครับ

เรายังคงยอมรับความเป็นลูกแกะเชื่องๆ ที่รอวันถูกหมาป่าทำร้าย โดยไม่คิดต่อต้าน

หรือเราจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเสือ เพื่อไม่ให้ถูกหมาป่าเกเรทำร้ายอีกต่อไป เราจะเลือกทางไหนดี?

ดังนั้นผมจึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วครับที่คุณทักษิณควรเปิดหน้าสู้ร่วมกับพ่อแม่พี่น้องที่สนับสนุนท่าน ควรจะนำความรู้ความสามารถของท่านมาทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศ ตามนโยบายทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ซึ่งประชาชนก็ลงมติเห็นดีเห็นงามแล้วด้วย เราจึงควรทำตามนโยบายที่เสนอไว้ แล้วปล่อยให้พวกเสียงส่วนน้อยบ้าไปตามประสาของพวกมันเถอะครับ


อย่าลืมนะครับ กว่าเราจะผ่านด่าน กกต.มาได้ ก็ทำให้เราต้องพะวักพะวงอยู่หลายวัน ทั้งๆที่ได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น และก็ไม่ใช่จะจบเพียงเท่านี้

ยังมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นด่านต่อไป ซึ่งเราคงรู้ดีอยู่แล้วว่า มีความเป็นกลางขนาดไหน จากผลสำรวจของสำนักโพล

จากด่านนี้แล้วยังมี ปปช.ที่เงื้ออีโต้รอฟันอยู่ข้างหน้าเป็นด่านต่อไป

แล้วยังมี สตง.อีกล่ะ พวกเหล่านี้ล้วนมาจากการแต่งตั้งของ คมช.ทั้งสิ้น ที่ทั้งเลือกทั้งเฟ้นพวกที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคของประชาชนทั้งสิ้น แล้วเราจะรอจนถึงวันนั้น แล้วค่อยมาเรียกร้องมาชุมนุม จากนั้นก็ถูกปราบปรามจนถึงชีวิตอย่างนั้นหรือครับ

ผมจึงคิดว่า น่าจะถึงเวลาที่ต้องทำกันอย่างกล้าหาญแล้วล่ะครับ ต้องตีเหล็กที่กำลังร้อนๆถึงจะดีครับ ต้องกระทำตั้งแต่ตอนนี้ กระทำตอนที่กระแสนายกฯหญิงของเรากำลังฮอทสุดๆอย่างนี้เลยนะครับ

จริงอยู่ตอนแรกผมก็เห็นด้วยเช่นกันครับว่า ควรจะดูแลเรื่องของปากท้องเป็นอันดับแรก และความปรองดองเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผมจึงคิดว่า เมื่อกระดุมเม็ดแรกกลัดผิดที่ กระดุมเม็ดต่อไปจึงไม่อยู่ในรางดุมอย่างถูกที่ถูกทาง ดังนั้นจะแก้ไขยังไงก็ลำบากครับ ทางเดียวที่ทำได้ คือต้องแกะกระดุมออกมาทั้งหมด แล้วกลัดเม็ดแรกให้เข้าไปในรูของมัน กระดุมเม็ดต่อไปก็จะเข้าที่เข้าทางเองแหละครับ

ดังนั้นในความคิดเห็นส่วนตัว กระดุมเม็ดแรกนั้นก็คือ รัฐธรรมนูญ ปี 50 ครับ ต้องรื้อกระดุมเม็ดนี้ออกก่อนครับ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระต่างๆที่มีอำนาจล้นฟ้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม ส.ว.ลากตั้งที่เป็นรากเหง้าของพวกเผด็จการ เมื่อประชาธิปไตยเป็นที่เป็นทางแล้ว เรื่องอื่นๆก็ง่ายที่จะทำต่อไปครับ ดังนั้นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงควรเป็นเรื่องเร่งด่วนในตอนนี้ครับ

และก็อย่าลืมนะครับ กลุ่มคนกลุ่มนี้ล้วนอาศัยประชาพิจารณ์มาอ้างความชอบธรรมให้กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำก็คือการทำประชามติครับ ทำเพื่อสร้างความชอบธรรมในการแก้ไข แต่ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วย ก็เป็นเรื่องของประชาธิปไตยที่พวกเราต้องยอมรับ

เรื่องต่อมาที่เร่งด่วน ก็คือ เหล่าข้าราชการทั้งหลาย ถ้าเห็นว่าคนไหนเป็นอุปสรรคต่อการบริหาร ถอดได้ก็ถอด ย้ายได้ก็ย้าย ปรับเปลี่ยนได้ก็ปรับเปลี่ยน ถ้าเห็นว่าบุคคลเหล่านี้เป็นตัวถ่วงการพัฒนาประเทศ

มิฉะนั้นรัฐบาลจะแก้ไขเรื่องปากท้อง ก็ต้องมีคนค้าน รัฐบาลจะปรองดอง อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปรองดองด้วย แถมคนกลุ่มนั้นยังต้องคอยสร้างปัญหา คอยทำลายสมาธิ ถ้ารัฐบาลต้องคอยมาตอบปัญหาจุกจิกกวนใจอยู่อย่างนี้ แล้วรัฐบาลจะมีเวลาคิดแก้ไขปัญหาของประชาชนได้อย่างไร จริงไหมครับ

นี่เป็นเพียงความคิดเห็นของผม ซึ่งอาจคิดถูกหรือผิดก็ได้ เพียงแต่ผมเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ดังนั้นจึงมีความต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงครับ ไม่อยากเป็นลูกแกะที่รอความเมตตา เพราะผมเชื่อว่า ความเมตตานั้นคงเกิดขึ้นยาก หลังจากเห็นการปราบปรามอย่างหนักในเดือน พ.ค. ดังนั้นผมจึงอยากเห็นรัฐบาลเปิดเกมรุกเสียบ้าง ในขณะที่ประชาชนยังสนับสนุนมากมายอยู่ อย่ารอเลยครับ และอย่ากลัวว่ารัฐบาลจะอายุสั้น เพราะถึงแม้อายุรัฐบาลจะสั้น แต่ถ้าสั้นเพราะเราได้สู้แล้ว ดีกว่าสั้นเพราะเราไม่ยอมสู้ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว เราจะตอบวีรชนที่ยอมเสียสละชีวิตเกือบร้อย บาดเจ็บอีกเกือบสองพันได้อย่างไรกันครับ

สุดท้ายที่ผมอยากบอก ถ้าเป็นการต่อสู้กันตามระบบ พวกเราไม่เคยแพ้อยู่แล้ว ที่เราแพ้ก็ล้วนแต่เป็นการพ่ายแพ้ต่ออำนาจนอกระบบเท่านั้นเอง แต่ถึงตอนนี้ ท่ามกลางกระแสคุณยิ่งลักษณ์ ท่ามกลางการจับจ้องของนานาชาติและท่ามกลางความหวังของประชาชนต่อรัฐบาลใหม่ ผมคิดว่า อำนาจนอกระบบจะทำอะไร คงต้องคิดเพิ่มอีกหลายเท่า ดังนั้นโอกาสที่จะใช้เผด็จการเต็มรูปแบบดังที่ผ่านมาคงจะยากอย่างแน่นอน ดังนั้นผมจึงอยากบอกว่า ควรจะเป็นเวลาของประชาธิปไตยได้เดินหน้าเสียที อย่ามัวพะวักพะวงอยู่เลยครับ

แต่ถ้ามีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้เราต้องแพ้ ก็ขอให้แพ้บนเวทีเลือกตั้ง ดีกว่าต้องแพ้เพราะการรัฐประหารทางกฎหมายอย่างที่แล้วๆมา เพราะนั่นมีแต่ทำให้ประเทศไม่มีทางเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สักที เราคงไม่อยากเห็นวันนั้นกลับมาอีกครั้ง จริงไหมครับ

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

71 แปลกจริงๆ ให้ดิ้นตาย สิเอ้า

ข่าวความเคลื่อนไหวอื่นๆ เชิญที่เว็บนี้ครับ....





...แหล จริงๆ!!! ถ้าคุณปูจะกู้เงินอีกกี่ล้านๆประชาชนก็ไม่ว่า เพราะมั่นใจเธอมีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ได้...คุณปูเคยเป็นนักธุรกิจระดับหมื่นล้าน ไม่ใช่นักธุรกิจนายหน้าขายที่ดินให้พ่อตัวเองเหมือนมาร์ค...

แปลกจริงๆ ให้ดิ้นตาย สิเอ้า
By: ทวดเอง

เราเคยมีรัฐบาลที่บอกว่าทำให้เศรษฐกิจเติบโตมากมายในเวลาเพียงสองปีเศษ
แต่...ประชาชนกลับลำบากไปทุกหย่อมหญ้า

เราเคยมีรัฐบาลที่ปราบปรามผู้ก่อการร้ายมากที่สุดตั้งแต่มีรัฐบาลมา
แต่...ประชาชนกลับเลือกแกนนำผู้ก่อการร้ายเข้าสภามากมาย

เราเคยมีรัฐบาลที่บอกว่าสร้างผลงานมากมาย
แต่...ประชนชนกลับพร้อมใจกันให้เป็นฝ่ายค้าน

เราเคยมีรัฐบาลที่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ด้วยการยึดพาสปอร์ตแดงของคุณทักษิณ
แต่...กับผู้ต้องหารายอื่นๆ กลับไม่เคยดำเนินการในแบบเดียวกัน

เราเคยมีรัฐบาลที่พยายามจะเจรจาทวิภาคกับเขมร
แต่...กลับยอมให้อินโดนีเซียร่วมเจรจาด้วย

เราเคยมีรัฐบาลที่บอกว่าจะฟ้องกลับเยอรมันที่อายัดพระราชพาหนะ
แต่...กลับนำเงินไปถอนประกัน

เราเคยมีรัฐบาลที่บอกว่าตอนนี้เงินคงคลังเหลือมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
แต่...ไม่เคยบอกว่า เงินจำนวนนั้นรวมกับหนี้ที่กู้มาด้วย

เราเคยมีนายกฯที่พยายามต่อสายหาฮุนเซ็น แต่ฮุนเซ็นกลับปิดเครื่องหนี
แต่...ตอนนี้ฮุนเซ็นกลับโทรมาแสดงความยินดีกับรัฐบาลใหม่

คลิกที่ภาพ...ดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น

เราเคยมีรัฐบาลที่แรกเข้ามาทำหน้าที่ก็กู้เงินมหาศาล
แต่...กลับห้ามรัฐบาลใหม่กู้เงิน

เราเคยมีนายกฯที่ได้ฉายาว่า นายกฯโพเดี้ยม
แต่...ต่างประเทศกลับเชิญผู้ต้องหาหนีคดีไปแสดงปาฐกถา

เราเคยมีรัฐมนตรีขุนคลังโลก ขุนคลังอาเชี่ยนและยังเป็นหนึ่งรายชื่อชิงตำแหน่งประธานไอเอ็มเอฟ
แต่...ต่างประเทศกลับเชิญผู้ก่อการร้ายไปบรรยายเรื่องเศรษฐกิจ

เราเคยมีรัฐมนตรีต่างประเทศที่ตามเดินเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดน
แต่...ผู้ร้ายคนนี้ก็ยังคงเดินทางไปได้ทั่วโลก

เราเคยพยายามบอกคนไทยทั้งชาติว่า คดีของคุณทักษิณเป็นคดีอาญา
แต่...ทางอินเตอร์โพลกลับบอกว่า นี่แหละเขาเรียกว่า คดีทางการเมือง

เราเคยพยายามที่จะบอกให้ต่างประเทศเคารพการตัดสินใจของประเทศเรา
แต่...ตอนนี้กลับบอกว่า ฝ่ายไทยกดดันให้ญี่ปุ่นออกวีซ่าให้คุณทักษิณ

เราเคยบอกว่า รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ก็เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย
แต่...คุณบารัค โอบามา กลับบอกว่า ตอนนี้(รัฐบาลคุณปู)เป็นจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยไทย

และสุดท้ายคนไทยคนหนึ่งแม้จะมีคดีติดตัว แม้จะเป็นผู้ต้องหาก่อการร้าย แต่นานาชาติยังคงเห็นคุณค่า ได้เชิญไปแสดงวิสัยทัศน์ ซึ่งน่าจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศ โดยที่ประเทศไม่ได้เสียหายอะไร
แต่...กลับมีคนไทยอยู่กลุ่มหนึ่งจะเป็นจะตายให้ได้ อย่างนี้ไงครับ ผมจึงบอกว่า แปลกจริงๆให้ดิ้นตาย สิเอ้า

By: wtf
ควายเคยบอกว่า ประเทศไทยโชคดีที่มีนายกฯชื่ออภิสิทธิ์
แต่...คนกลับบอกว่า ประเทศไทยเลวร้ายที่มีนายกฯชื่ออภิสิทธิ์

By: นางฟ้านะยะ
ถ้าไม่มีเรื่องแปลกๆเหล่านี้ คนเสื้อแดงจะเรียกว่า ตอแหลแลนด์ หรือฮ้า

16 สิงหาคม 2554 @ช่อง3 By: ดาบปลายปืน













By: ชาดสิริ
ไม่อยากใช้คำว่าสวย เพราะทุกสิ่งมันเลยข้ามคำว่า"สวย"ไปแล้ว แต่ทั้งหมดนี้คือความงามที่เปล่งออกมาจากภายใน ความฉลาด ความบริสุทธิ์ ที่ดูงดงามดุจประกายที่เปล่งออกมา เพราะจิตใจที่บริสุทธิ์ เพราะได้รับการอบรมกล่อมเกลาให้ออกมามีจิตใจงาม มองโลกในแง่บวก ทั้งที่พ่อแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวประกอบด้วยพี่ๆเลี้ยงน้องมาดี

ไม่เหมือนคนบางคน เกิดมามีรูปเป็นทรัพย์ นับวิชา(มีความรู้) มีชาติตระกูลดี พ่อแม่อยู่ครบ แต่สันดานเลว มารยาสาไถย โกหกพกลมเป็นหัวใจ วาจาก้าวร้าวเชือดเฉือน จิตใจต่ำ มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น น่าอนาถ...หมดบุญแล้วจะรู้สึก ตอนนี้ก็ผวาด้วยเสียงข่มขู่จากผู้คน เราไม่เชื่อหรอก อย่ามาเรียกร้องความสนใจเลย ทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ตอนนี้ ปชช.โฟกัสไปที่ นรม.ปู ก็เลยออกมาเรียกร้องความสนใจด้วยการโกหกว่ามีคนข่มขู่จะทำร้าย หัดส่องกระจกชะโงกดูเงาหัวตัวเองซะมั่ง ว่าหมดทั้งค่าและราคา ไม่มีใครเขาอยากไปยุ่งกับคุณหรอก เพราะมันเหมือนเอาไม้สั้นไปรับขี้!!!


วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

70 แม่จ๋า...


คลิกที่ภาพ...ดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น


แม่จ๋า...

บ้านพักคนชราที่ผมไปเยี่ยมเยือนมาหลังวันเกิดในเดือนที่แล้ว เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวไม่ใหญ่โตนัก ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของวัดเล็กๆ ที่สมภารเจ้าอาวาสอดีตนักเรียนโรงเรียนเดียวกับผม ท่านเอาเงินที่ญาติโยมศรัทธาถวายท่าน มาปลูกสร้างเพื่อให้ผู้เฒ่าผู้ชราได้มาพักอาศัยยามเมื่อขาดที่พึ่งพิง

มีโยมผู้หญิงวัยกลางคนไร้ญาติและสิ่งเกาะเกี่ยวทางโลกมาบำเพ็ญธรรมโดยไม่บวชชี ท่วงท่าเจรจาพาทีดูสำรวมราบเรียบ พร้อมเด็กวัดลูกชาวบ้านแถบนั้นแวะเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้ดูแลผู้ชราทั้งหญิงชายที่ถูกทอดทิ้งรวม 13 ชีวิต ค่าจ้างคนดูแล น้ำไฟ เสื้อผ้ายารักษาโรค ข้าวปลา อาหาร สมภารใจดีอดีตนักเรียนช่างกลที่รอดตายมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เหมาจ่ายคนเดียว โดยไม่เคยพิมพ์ฎีกาเรี่ยไรใคร

พูดคุยกับท่านหลายเรื่องจนตอนจะลากลับ ผมควักเงิน 500 บาท ใส่ซองถวายท่านเป็นค่าใช้จ่าย ท่านจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ ชวนผมเดินลงจากศาลาไปที่บ้านพักคนชราแห่งนั้น เปิดนรกบนดินอีกขุมหนึ่งให้คนบาปอย่างผมได้มีดวงตาเห็นธรรม โดยไม่ต้องฟังเทศน์เทียบชาดกบทใดๆ

หญิงชรารูปร่างเล็กผิวสองสีบอบบาง ทอดกายเหยียดตรงบนเตียงเล็กๆ แต่สะอาด มีผ้าห่มผืนบางๆ ห่มปิดทรวงอกที่ยังกระเพื่อมเบาๆ ราวเครื่องยนต์ใกล้ดับอย่างเหนื่อยหน่าย แม่เฒ่าพยายามยกมือขึ้นประนมไหว้เมื่อท่านสมภารพาผมมานั่งอยู่ข้างขอบเตียง

กังวานน้ำเสียงแห่งพุทธบุตรผู้เมตตาเปล่งวาจาถามไถ่อาการ และให้ศีลให้พรเบาๆ แต่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ หยาดน้ำตาแห่งความปีติท่วมท้นดวงตาสีขาวขุ่น แล้วค่อยๆ ซึมเซาะรินไหลไปตามร่องขอบตาที่เหี่ยวย่นบนใบหน้า เวทนาบังเกิดจนผมต้องเบือนหน้าหนี

ผู้เฒ่าอายุ 91 ปี อาวุโสสูงสุดในจำนวน 13 คนชราของที่นี่ เรื่องราวทั้งหลายในอดีตยังเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำ เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน...

แม่เฒ่ามีลูกชายสองคนและหญิงหนึ่งคน 60 ปีที่ผ่านมาครอบครัวแม่เฒ่าจัดอยู่ในระดับผู้มีอันจะกินของจังหวัด สามีของแม่เฒ่ามีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ก่อร่างสร้างตัวจากกรรมกรกินค่าแรงรายวัน โดยแม่เฒ่ารับจ้างทอผ้าอยู่ในโรงงงานแห่งหนึ่ง อดออมสะสมจนฐานะดีขึ้น สามารถสร้างหลักฐานมีที่ดินบ้านช่องสมฐานะ

แต่สามีก็ยังทำงานหนักไม่ยอมพักหวังจะฟูมฟักลูก 3 คน ให้อยู่อุ่นกินอิ่มโดยไม่ต้องลำบาก ช่วงนั้นแม่เฒ่าเลิกท้อผ้าแล้วอยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คนที่อยู่ในวัยซนไล่เรียงตามลำดับ


เช้าวันหนึ่งเมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบ สามีของแม่เฒ่าก็หลับไปไม่ตื่นมาล่ำลา หมอที่โรงพยาบาลบอกว่าสามีตับแข็งตายทั้งๆที่ไม่เคยแตะเหล้าซักหยด

แม่เฒ่าเปลี่ยนสภาพบ้านพักเปิดเป็นร้านค้าโชห่วย ขายของสารพัดชนิด อดทนอดออมเลี้ยงลูกทั้ง 3 คนให้ร่ำเรียนจนจบปริญญา ครอบครัวอบอุ่น พี่น้องรักใคร่กันดี ไม่มีเค้าลางว่าจะแตกหัก ดั่งหนึ่งคนละสายเลือด

ลูกชายคนโตแต่งงานไปกับลูกสาวเจ้าของร้านขายทองในตลาด ในชีวิตของแม่เฒ่าไม่เคยมีความสุขครั้งไหนเหมือนวันที่ลูกชายแต่งงาน สมบัติที่มีแม่เฒ่าจัดแบ่งเป็นสามส่วน ให้ลูกชายคนโตเปิดร้านขายทองตามที่สะใภ้ต้องการ

ปีต่อมาลูกคนที่สองแต่งสาวเข้าบ้านอีกคน แม่เฒ่ายกบ้านและที่ดินที่เปิดร้านขายของสองคูหาสามชั้นให้เป็นสมบัติของลูกด้วยความยินดี โดยที่แม่เฒ่าขอสิทธิ์แค่อยู่อาศัย

สองปีถัดมาลูกสาวคนสุดท้องแต่งกับข้าราชการระดับหัวหน้ากองในจังหวัด แม่เฒ่ายกที่ดินและเงินสดก้อนสุดท้ายของแม่เฒ่ารับขวัญลูกเขยด้วยความปรีดา

และแล้ว สะใภ้คนที่สองเริ่มจุดประกายแห่งการแตกหัก ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านไม่เคยแม้แต่เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว แม่เฒ่ากลายเป็นทาสในเรือน ซักผ้าทำกับข้าวจัดสำรับคับค้อนตั้งโต๊ะคอยท่าสองผัวเมียกินก่อนจนอิ่ม แม่เฒ่าจึงมีโอกาสได้กินของเหลือก่อนจะเก็บกวาดถ้วยชามไปล้าง กวาดเช็ดบ้านช่องเรียบร้อยแล้วจึงได้พักผ่อนด้วยการเดินออกไปคุยกับเพื่อนบ้านในวัยไล่เลี่ยกัน

สะใภ้สองเข้มงวดแม้แต่ของสดทุกชนิดที่ซื้อมาทำกับข้าว ต้องถามราคาแล้วยกไปชั่งน้ำหนักราคาสินค้ากับเงินทอนที่เหลือต้องตรงกับเงินที่ให้ไปตลาด แต่แม่เฒ่าก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์

แล้ววันหนึ่งสะใภ้สองก็จัดระเบียบการกินใหม่ หล่อนไปสั่งผูกปิ่นโต เพื่อกินกันแค่สองผัวเมีย แล้วสั่งให้ผัวจ่ายเงินให้แม่เฒ่าแค่วันละยี่สิบบาทไปหากินเอาเอง ด้วยเหตุผลโง่ๆ คือต้องการประหยัด แต่ลึกๆในใจไม่ต้องการให้แม่ผัวเม้มส่วนเกิน แม่เฒ่าคิดเอาเองว่าลูกๆ คงไม่อยากให้แม่เหนื่อยจึงน้อมรับประกาศิตลูกสะใภ้ด้วยดุษฎี สองสามวันต่อมาแม่เฒ่าก็ลืมสิ้นเพราะความรักลูก


หลายครั้งที่แม่เฒ่าคิดถึงลูกชายคนโตที่เปิดร้านขายทองในตลาด แม่เฒ่าจะเจียดเงินที่เก็บออมไว้ ซื้อผลไม้ที่ลูกชอบติดมือไปด้วย แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเดินเข้าไปในบ้านสะใภ้ใหญ่จะมองอย่างเหยียดๆ แล้วเดินหนีเข้าห้องแอร์ปิดประตูนอนดูโทรทัศน์ สั่งคนใช้ให้คอยสอดส่องเดินตามแม่เฒ่า เธอกลัวแม่ผัวขโมยของในบ้าน

จะคุยกับลูกชายไอ้นั่นก็ออกอาการไม่ว่างถามคำตอบคำเหมือนหนามตำโดนโคนลิ้นจนอ้าปากลำบากลำบน อึดอัดแม่ เกรงใจเมีย แกล้งถอดสร้อยคอทองคำเส้นโตที่ห้อยแขวนพระเครื่องราคาแพงในกรอบทองฝังเพชรพวงใหญ่ ขึ้นมาส่องทีละองค์ด้วยความเลื่อมใส และไม่แม้แต่จะชายตามองแม่เฒ่าที่นั่งซึมอยู่ข้างตู้ทองอย่างเดียวดายเก้ๆกังๆ อยู่พักใหญ่ก็เดินออกจากบ้านลูกชายคนโตอย่างเหงาๆ โดยมีคนใช้ของลูกหิ้วถุงผลไม้ตามมายัดคืนใส่มือ ระหว่างทางก็แวะทักทายคนรู้จักเพื่อรักษามารยาท แต่ในใจของแม่เฒ่ามันวังเวงจนจำไม่ได้ว่าพูดคุยกับใครไปบ้างระหว่างทาง

ลูกสาวคนเล็กที่แม่เฒ่าทั้งรักทั้งหวงนั่นแทบไม่ต้องพูดถึง เธอยื่นคำขาดกับแม่เฒ่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมเข้าพบผัวของเธอเพื่อขออำนวยความสะดวกในทางธุรกิจ และผัวของหล่อนก็ค่อนข้างเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าแม่เฒ่ารักลูกก็ควรจะต้องรักษาเกียรติรักษาหน้าตาของผัวลูกด้วย แม่เฒ่าไม่เข้าใจว่าการรักษาหน้าตาของลูกเขยนั้นต้องทำอย่างไร แม่เฒ่ายังเคยปลื้มกับคำชมของเพื่อนบ้าน เขาว่าแม่เฒ่าวาสนาดีลูกเขยเป็นเจ้าคนนายคน แม่เฒ่าก็ได้แต่แอบปลื้มทั้งๆที่ไม่เข้าใจว่าทำไมการเป็นเจ้าคนนายคน จึงเหมือนกำแพงชนชั้นปิดกั้นระหว่างความเป็นแม่ลูกจนหนักหนาสาหัสขนาดนั้น

ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์โผล่ขึ้นมารายรอบร้านค้าของลูกชายคนที่สอง กระทบธุรกิจของสองผัวเมียจนซวดเซ ของขายไม่ได้มากเหมือนเก่าที่เอาอะไรมาวางก็ขายหมด ปัญหาและวิกฤติการเงินในบ้านส่งสัญญาณถึงขาลง สองผัวเมียเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง และแทบทุกครั้งลูกสะใภ้ก็จะฉวยโอกาสด่ากระทบแม่ผัวเป็นของแถมโดยไม่มีเหตุผล โดยที่ลูกชายก็ไม่ออกอาการปกป้องแม่เฒ่าแต่อย่างใด...


12 มิถุนายน 2530 ประมาณ 3 ทุ่มของคืนโลกาวินาศ ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยพยับเมฆสลับกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเป็นระยะๆ ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาสายฝนจึงโปรยปรายชุ่มฉ่ำน้ำนองไปทั่วเมือง

ลูกชายลูกสะใภ้ออกไปกินข้าวนอกบ้านยังไม่กลับปล่อยแม่เฒ่าเฝ้าร้านค้าคนเดียว แม่เฒ่าจำได้ว่าวัยรุ่นสองคนขี่รถเครื่องฝ่าสายฝนมาจอดหน้าร้าน ขอซื้อเบียร์หนึ่งขวด แม่เฒ่ารับเงินแล้วเดินเข้าไปเก็บในลิ้นชักโดยไม่ระแวงว่าสองวัยรุ่นแอบยกลังใส่บุหรี่ที่ลูกชายสั่งมายังไม่แกะกล่องช่วยกันแบกขึ้นรถขี่หายไปกับความมืด

ก่อนสี่ทุ่มเล็กน้อยสองผัวเมียจึงขับรถกลับเข้าถึงบ้านช่วยกันเก็บของเข้าร้าน วางของทุกชิ้นเข้าที่ที่เคยวาง เมื่อไม่เห็นลังบุหรี่จึงหันไปตะโกนถามแม่เฒ่าที่กำลังจุดธูปไหว้รูปสามีบนหิ้ง เพียงคำตอบที่แม่เฒ่าตอบว่าไม่เห็นก่อนปักธูปลงกระถาง เสียงสบถด้วยคำหยาบของลูกชายก็ดังสวนสนั่นบ้าน ครู่เดียวทั้งลูกสะใภ้กับลูกชาย ก็สลับปากจิกหัวด่าแม่กึกก้องประสานเสียงกับสายลมนอกบ้านก่อนที่ทั้งคู่จะขับรถไปโรงพักแจ้งจับแม่ลักทรัพย์

ตำรวจพาแม่เฒ่าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะร้อยเวร แม่เฒ่าให้การไม่รู้ด้วยซื่อบริสุทธิ์ โดยไม่ตัดพ้อต่อว่าลูกชายแม้แต่คำเดียวกว่าชั่วโมงในห้องแอร์เย็นเฉียบ แต่ในอกในใจของร้อยเวรหนุ่มร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟนรกแผดเผา ที่ต้องวิงวอนสองผัวเมียให้เห็นบาปบุญคุณโทษ แต่สองผัวเมียกลับโยนภาระตอกย้ำให้ตำรวจอบรมแม่เฒ่า ก่อนที่จะสะบัดก้นกลับไปบ้าน โดยไม่ใส่ใจแม่เฒ่าที่เปียกฝนนั่งสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ

สายฝนยังสาดซัดกระหน่ำหนักเหมือนฟ้าแตก ตำรวจยศนายดาบขับรถร้อยเวรมาส่งแม่เฒ่าที่บ้าน บ้านซึ่งประตูเหล็กถูกปิดสนิท แม่เฒ่าลงจากรถเดินฝ่าฝนถึงหน้าบ้านแล้วแม่เฒ่าก็ตกใจสุดขีดกับภาพเบื้องหน้าที่พื้นหน้าบ้าน เสื้อผ้าเก่าๆ ยัดแน่นอยู่ในถุง ถูกโยนออกมากองเรี่ยราดเหมือนขยะ

บนกองเสื้อผ้าของแม่เฒ่า กระถางธูปและรูปถ่ายของสามีแตกกระจายเกลื่อนกราด หยาดฝนสาดซัดรูปถ่ายขาวดำของสามีจนเปียกปอนขาดวิ่น แม่เฒ่าก้มลงหยิบรูปของสามีมากอดแนบอก น้ำตาแห่งความรันทดทะลักล้นปนน้ำฝน ปวดร้าวเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ แม่เฒ่ากอดรูปนั้นไว้เหมือนจะปกป้องจากสายฝนสุดชีวิต

สองเท้าออกก้าวช้าๆ เหมือนร่างไร้วิญญาณเข้าตลาดไปหยุดนิ่งอยู่หน้าร้านขายทองของลูกชายคนโตเหมือนเป็นการบอกลา แล้วลัดเลาะฝ่าความมืดและสายฝนไปยืนอยู่หน้าบ้านลูกสาวคนเล็กเก็บภาพแห่งความรักความทรงจำสุดท้ายเป็นครู่ใหญ่ จึงเดินจากไปท่ามกลางเสียงกึกก้องของฟ้าร้องระงม สลับกับเสียงฟ้าผ่าแน่นหนักเป็นระยะ

รถกระบะเก่าๆ คันนั้นวิ่งฝ่าสายฝนมาจอดสงบนิ่งอยู่หน้ากุฏิพระของสมภารเจ้าวัดตอนตีสามเศษๆ คนขับรถพบแม่เฒ่าเดินโซซัดโซเซอยู่ข้างถนนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ด้วยใจเมตตา เมื่อแม่เฒ่าต้องการมาที่นี่ จึงขับรถมาส่งด้วยความสังเวช

แม่เฒ่ามักคุ้นกับสมภารวัดนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เจ้าอาวาสองค์เก่ายังอยู่ นาทีสุดท้ายของการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต จึงไม่มีที่ไหนอบอุ่นให้พึ่งพิงเหมือนร่มเงาฉัตรแก้วกงธรรมแห่งรัตนทั้งสาม

ฟ้าเริ่มขมุกขมัวใกล้ค่ำลงทุกขณะ ผมจำเป็นต้องบอกลาท่านสมภารและแม่เฒ่าเจ้าของเรื่องราวน่าสลด นับแต่นาทีแรกที่แม่เฒ่ามาถึงที่นี่จนวันนี้ แม่เฒ่าไม่เคยออกไปนอกวัดเหมือนๆกับที่ลูกทั้งสามคนก็ไม่เคยออกติดตามถามหา จะรู้หรือไม่ก็แล้วแต่ ว่าแม่ซมซานมาอยู่วัด แต่ก็ไม่เคยปรากฏแม้แต่เงาของสามลูกอกตัญญู


ผมจากลาออกมาทั้งที่น้ำตาเปื้อนหน้า ประโยคสุดท้ายของแม่เฒ่าที่ฝากมา...

"แม่จำลูกได้ทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนโต จะทุกข์จะสุขก็คือลูกของแม่ แม่ให้โดยไม่เคยวาดหวังจะได้จากลูกทุกคนเป็นการตอบแทน...

ลูกเอ๋ย...เมื่อลูกยังเป็นทารกทุกครั้งที่แนบอกดูดดื่มน้ำนมจากเต้า สองมือน้อยๆของเจ้าไขว่คว้าอยู่ไหวๆ...

วันนี้แม่สิ้นแรงแทบสิ้นใจ จะมีมือของลูกคนไหน เอื้อมมาปิดตาให้แม่ก่อนสิ้นลม... "



วันนี้คุณทำอะไรให้เธอบ้าง? เธอหนาวไหม? หิวไหม? อยู่อย่างไร?...


สวัสดีครับ คุณๆท่านผู้อ่านทุกๆท่าน

ผมได้รับ forward mail มาครับ เพื่อนๆส่งต่อๆกันมา

เลยไม่ทราบว่าวัดไหน และท่านผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์บทความนี้

แต่เมื่อได้อ่านแล้วเห็นว่าดีมาก อยากให้ทุกๆคนได้อ่าน...อ่านจนจบนะครับ

แล้วลองมองย้อนกลับไป ทุกวันนี้เราลืมใครไปหรือเปล่า?

จงกตัญญูต่อท่านเมื่อท่านมีชีวิตอยู่...ถ้าคุณสามารถหันกลับมาดูแลพ่อแม่ทัน

ทำอะไรให้ท่านในยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่...จะเป็นผลบุญกุศลอันสูงสุดครับ

โหลดมงคล 11-12-13 คือ...อรหันต์ของลูก .mp3 ที่นี่ครับ

บรรยายธรรมแนวใหม่...สนุก...ฟังเพลิน

โดย...พระมหาสมปอง มุทิโต




'อุบลวรรณ พงษ์สวัสดิ์' คุณแม่ผู้ให้ชีวิต'Thanawut' ภาพนี้ท่านอายุ43(2518) ถ้ายังอยู่ปีนี้79 ส่วน'Thanawut'27พ.ค.54เต็ม64วันนี้ ขอรำลึกถึง'แม่อุบล'ของลูกๆ...เริ่มต้นท่านเป็นครูสอนภาษาอังกฤษโรงเรียนเอกชน เป็น'ครูอุบล'ของลูกศิษย์ลูกหามากมาย ลาออกไปเป็นguideบ.ทอมมี่รับทัวร์ทหารสงครามเวียดนามที่มาพักร้อนในเมืองไทย ตอนนั้นถ้าได้ดูทีวีถ่ายทอดสดมวยจากเวทีราชดำเนินจะเห็นภาพ'แม่อุบล'ตัวเตี้ยๆอ้วนจ้ำหม้ำยืนชี้มือชี้ไม้ปากพูดอธิบายไม่หยุดให้ลูกทัวร์ฝรั่งฟัง และสุดท้ายของชีวิตท่านเป็นoperatorโรงแรมใหญ่แถวๆราชประสงค์ เป็นเพื่อนเป็น'พี่อุบล'ของน้องๆในที่ทำงาน ท่านเสียชีวิตด้วยความดันโลหิตสูงที่รพ.รามาธิบดี

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

69 ทองคำแท่ง วันนี้(8ส.ค.54) ขายออก บาทละ 24,050 ซื้อเข้า บาทละ 23,950

ข่าวความเคลื่อนไหวอื่นๆ เชิญที่เว็บนี้ครับ....


รายนามนายกรัฐมนตรีหญิงของโลก คลิกที่นี่...


ทองคำแท่ง วันนี้(8ส.ค.54) ขายออก บาทละ 24,050 ซื้อเข้า บาทละ 23,950
By: ประธานเกา

นี่ถ้าท่านซื้อ ทองรูปพรรณ+ค่ากำเหน็จ เข้าไป 400-500 บาท จะตก บาทละ 24,550 เลยทีเดียว

ซื้อทอง 1 สลึง น้ำหนัก แค่ 3.8 กรัม ต้องใช้เงิน ประมาณ 6 พันกว่าบาท ถึงจะซื้อได้

ซื้อแหวนหมั้นสาว เอาแค่ ครึ่งสลึง น้ำหนัก 1.9 กรัม ใช้เงิน 3 พันกว่าบาทแล้ว

ใครที่คิด จะแต่งเมียตอนนี้ เห็นราคาทองแล้วคงเป็นลมแน่ครับ แนวโน้ม ราคาทอง ไปแตะที่ บาทละ 25,000 แน่นอนครับ คงไม่เกินสิ้นปีนี้

ส่วนท่าน ที่เก็บทองไว้ อย่าเพิ่งใจร้อนขายออก ผมคาดว่าราคาทอง คงไม่มีตก มีแต่จะเพิ่ม เห็นฝรั่ง แถวบ้าน มันวิเคราะห์ให้ฟัง

ค่าเงิน ดอลล่าร์ คงจะตกลงมาเป็น 25 บาท ต่อดอลล่าร์ ในอนาคตอันไม่ใกล้นี้ ใครที่ชอบถือเงิน ดอลล่าร์ คงจะเจ็บตัวไม่ใช่น้อย เทดอลล่าร์ออก มาเก็บทองเอาไว้ ผมว่าตอนนี้ยังทันครับ

ต่อไปนี้ คำสุภาษิตที่ว่า เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร คงจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป ตีว่า หัวคนเรา หนัก 5 กิโล ทอง 1 กิโล หนัก 65.7 บาท คูณ 5 ตก 328.9 บาท คูณราคาทอง 24,050

เท่ากับ 7 ล้าน 9 แสน กว่าบาทเลยทีเดียว ส่วนท่านที่ไม่มีอะไร จะให้เก็บ ไม่ต้องเสียใจครับ เพราะว่าผมก็เป็นเหมือนท่าน...อิอิ


ภาพหมู่นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 ข. ปีการศึกษา 2505 (รุ่นที่ 14) โรงเรียนเมธีวุฒิกร จังหวัดลำพูน (ผมยืนตรงไหน?)


By: ธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร

ผมเหรอครับ!! นับง่ายๆ เอาเลขท้าย พ.ศ.สองตัวบวก 10 นั่นแหละอายุของผมล่ะ ครบ 64 ปีบริบูรณ์วันที่ 27 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านนี่แหละครับ

ผมประสบความสำเร็จในชีวิตระดับหนึ่ง เรียนจบก็ทำงานตั้งหลักตั้งฐานผ่อนบ้านซื้อที่ดินและมีครอบครัว ต่อสู้กับชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวจนชาชิน ฐานะก็พอมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนหรือเป็นกังวลเหมือนคนแก่อีกหลายๆคนบนโลกเก่าๆผุๆใบนี้

หลังจากผมเรียนหนังสือจนจบชั้นสูงสุด(ในสมัยนั้น)ของจังหวัดลำพูน ปี พ.ศ. 2506 ผมได้รับโอกาสจากท่านผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือให้ไปฝึกงานที่ นสพ."ไทยเหนือ" โรงพิมพ์"สงวนการพิมพ์" จังหวัดเชียงใหม่ ได้ฝึกงานและกินนอนอยู่ที่นั่นสองปีเต็มๆ ได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 200 บาท ซึ่งสมัยนั้นนับว่ามากมายพอสมควรสำหรับเด็กฝึกงาน เพราะค่าแรงงานขั้นต่ำที่จังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้นเขาจ่ายกันที่ 8 บาทต่อวัน

ท่านเจ้าของ ผู้จัดการ และบรรณาธิการ คือ คุณสงวน โชติสุขรัตน์ ท่านเป็นนักโบราณคดีเมืองล้านนาด้วย ท่านเป็นคนมีน้ำใจดี โอบอ้อมอารี และมีเมตตา ท่านอบรมสั่งสอนและถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ทั้งทางด้านหนังสือพิมพ์ และงานในโรงพิมพ์แขนงต่างๆ ให้แก่ผมเหมือนกับผมเป็นลูกหลานของท่านคนหนึ่ง ท่านสอนให้ผมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของการศึกษา และการใฝ่หาความรู้ให้กับตัวเอง ท่านย้ำอยู่เสมอๆไม่ให้ผมทิ้งการเรียน และแนะนำให้ผมเอาเวลาว่างหลังเลิกงานตอนเย็นไปเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนใกล้ๆโรงพิมพ์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในปีถัดไป

ครั้นถึงปลายปี พ.ศ. 2508 ผมจึงกราบเท้าอำลาท่านผู้มีพระคุณ "คุณสงวน โชติสุขรัตน์" เบน "เข็มทิศชีวิต" ของตัวเอง มุ่งหน้าสู่ "กรุงเทพมหานคร" ด้วยปณิธานอันแน่วแน่และแรงกล้า สอบเข้าเรียนต่อจนจบวารสารศาสตร์ แล้วไปฝึกงานที่ นสพ.เดลินิวส์สมัยอยู่สี่พระยาโน่น

จากนั้นชีวิตหักเหผมไม่ได้ทำงาน นสพ.ฉบับไหนเลย แต่จับผลัดจับผลูถูกเพื่อนลากเข้าไปทำงานในบริษัทคอมพิวเตอร์ที่พ่อของมันเป็นหุ้นส่วน มะงุมมะงาหราตั้งแต่คอมฯตัวใหญ่โตมโหฬารเท่าตึก 3-4 ชั้นจนมันเล็กลงๆเหลือกระจี๊ดเดียวเท่าเมล็ดถั่วเขียว ผมเพลิดเพลินกับงานที่ไม่ได้อยู่ในสายที่เรียนมาจนกระทั่งเกษียณอายุ...ได้รางวัลปลอบใจจากบริษัทฯหลายตังค์

บั้นปลายของชีวิตผมจึงมีความสุขมีเวลาว่างอยู่กับหน้าจอคอมฯทุกๆวัน ค้นหาข้อมูลและเก็บเกี่ยวประสบการณ์รื้อฟื้นความทรงจำในอดีตแล้วขุดขึ้นมาเล่ามาเขียนให้คุณผู้อ่านที่เป็นแควนๆติดตามกระทู้ของผมไง และทุกวันนี้ผมยังทำเว็บบล็อก UpDate ข้อมูลเองนะครับ





















ว่างๆ ก็ขอเชิญชวนทุกๆท่าน Click เข้าไปอ่านเข้าไปหาความรู้กันได้นะครับ รับรองมีสาระบันเทิงและบทความที่ให้ความรู้อย่างลึกซึ้ง เพียบ!

ความสุขของผมทุกวันนี้จึงมีเหลือเฟือมากพอที่จะแบ่งปันแจกจ่ายให้ทุกๆท่านได้อย่างเต็มที่ด้วยความเต็มใจครับ