@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ สนทนากับทักษิณ "ผู้ต้องสงสัย" แห่งประเทศไทย Conversations with Thaksin, Thailand's prime suspect
@ "วรเจตน์" ฝ่าศึกสหบาทา: ร้องว่าผมเนรคุณ แต่คุณยืนให้สูงเพื่อบอกว่าจงรักภักดี โดยเหยียบหัวผมขึ้นไป
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...
ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้..
ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่7 "ทำไมถึงจนอย่างนี้"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"
เรื่องสั้น ฉ.๒๔๓๐ "คำสั่งสุดท้าย" โดย ชัญวลี ศรีสุโข
ตอนที่5.."ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนยังเป็นเด็ก เราเป็นคนที่ทั้งดื้อ ทั้งซนเหมือนลิง หาความเรียบร้อยไม่ได้ แม่เรียกว่า อีม้าดีดกะโหลก เท่านั้นยังไม่พอ ยังไม่ชอบเรียนหนังสือ เชื่อไหม เราสอบตกซ้ำชั้นตอนอยู่ชั้น ป.1 ไม่น่าเชื่อว่าตกได้อย่างไร แต่ตอนนั้นถ้านักเรียนมี 35 คน เราสอบได้ที่ 35 ก็ถือว่าเก่งกว่าคนอื่น เพราะได้ที่มากกว่าคนอื่น
เราตั้งแก๊งเด็กซน มีเราเป็นหัวโจก มีสมุน 4-5 คน ซนมากๆ สุดแสนจะไม่เรียบร้อย ทะลึ่ง ตึงตัง แกล้งเพื่อน ถูกครูลงโทษบ่อยๆ ให้ยืนขาเดียวปากคาบไม้บรรทัด พอเอาออกปากแดงแจ๋จากน้ำหมึกสีแดงที่ติดไม้บรรทัด เรายังไม่เข็ด กลับทำหน้าทำตาหลอกครูเวลาลับหลัง บางครั้งครูก็ให้ยืนขาเดียวบนโต๊ะเรียน คาบไม้บรรทัด อวดนักเรียนชายโรงเรียนติดกัน เรากับรู้สึกเท่ดี ยืนแบบดาราหนังขาเดียว อยู่ได้นานๆไม่เบื่อ
ครั้งหนึ่งตอนตรุษจีน ที่บ้านเรามีประทัดเยอะมาก เราก็แอบเอาไปโรงเรียนด้วย ตกตอนเย็นก็ชวนเพื่อนแก๊งเด็กซน พากันเดินกลับบ้าน ไม่กลับกับรถที่มารับ เดินไปก็จุดประทัดไป เสียงดังสนั่นหวั่นไหว จุดแล้วก็เหวี่ยงออกนอกตัว เราสนุกกันมาก แต่ชาวบ้านคงอยากเตะพวกเราซักป๊าปแน่ๆ
แต่มันเกิดเรื่องเพราะขณะที่เราจุดประทัด และกำลังเหวี่ยงออกไปข้างหลัง ก็มีไอ้เด็กตาถั่วหูตึงคนหนึ่ง วิ่งทะเลอทะร้าเข้ามา พอดีกับจังหวะที่เราเหวี่ยงออกไป ไปโดนจมูกเขาเข้า จมูกเขาฉีก บวมแดงขึ้นมาทันที ร้องแงๆ ไปฟ้องพ่อ พ่อเขาโมโหมาก ตรงไปบ้านเราทันที ไปฟ้องเตี่ย จะเอาเรื่องเรา เตี่ยโมโหมากอีกคนนั่งรอเราเลยละ พอกลับไปถึงบ้าน เตี่ยไม่พูดพล่ามทำเพลง ตีเราเกือบตาย สมน้ำหน้า ซนดีนัก
สมัยนั้น เด็กๆยังไม่มีอะไรมาชวนให้ใจแตกแบบสมัยนี้ แต่เราชอบอ่านหนังสือมาก ถ้ามีเงิน เย็นมาเราจะไปที่ร้านหนังสือ ไปรอซื้อหนังสือ ชอบอ่านหนังสือทุกชนิด นิยายนี่ชอบที่สุด เพชรพระอุมานี่อันดับหนึ่ง ชอบหมอดาริน นางเอกมาก อยากเป็นหมออย่างเขา
แต่เรามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเรียนดี คือเราจะอ่านหนังสือทบทวนที่เรียนมาทุกๆเย็น เพราะกลัวสอบตกแบบชั้น ป.1 อีก เราเลยกลายเป็นคนเรียนดี สอบได้คะแนนดีมาก ได้รางวัลทุกปี แต่ในหัวก็ยังไม่มีความคิดว่า จะเรียนอะไรจะเป็นอะไร เรียนไปยังงั้นๆ เอาให้ไม่สอบตกเป็นใช้ได้ เตี่ยกับแม่ก็ไม่มีเวลามาแนะนำ งานมาก ลูกเยอะ
อยู่มาวันหนึ่งขณะที่เราอยู่ชั้น ม.2 เตี่ยพาเราไปหาหมอจีน ให้แหมะเพราะไม่สบาย เราไม่ชอบกินยาจีน มันขม เลยบอกเตี่ยว่า โตขึ้นหนูจะเรียนหมอ มารักษาเตี่ย เตี่ยจะได้ไม่ต้องมากินยาจีน เตี่ยบอกว่า ซนเหมือนม้าดีดกะโหลกนี่เหรอจะเป็นหมอ แล้วก็ถอนใจ ร้องเฮ้อ เฮ้อ
เท่านั้นแหละเราฮึดขึ้นมาเลยว่าเตี่ยดูถูก คอยดูนะเตี่ย จะเป็นหมอให้เตี่ยดูให้ได้ แต่เราคิดมานานแล้ว คิดบ่อยๆว่าเตี่ยรวยก็จริง แต่ลูก 15 คน (รวมของแม่เมืองจีนด้วย) แบ่งสมบัติกันแล้ว เราจะเหลือซักเท่าไหร่ ไม่พอกินแน่ๆ เราต้องช่วยตัวเอง หาเอง ไม่พึ่งสมบัติของเตี่ยและ เป็นหมอดีที่สุด หาเงินได้ง่าย ได้ช่วยรักษาคนอื่นๆ และมีหน้ามีตา เราตั้งเป้าให้กับตัวเอง ต้องเป็นหมอให้ได้
ตั้งแต่นั้นมาเราก็ตั้งใจเรียนมากไม่เล่นซน อ่านหนังสือทุกเย็น ไปเรียนพิเศษ มีไอ้หนุ่มๆมาจีบ เขียนจดหมายมาให้หลายคนเราก็ไม่สนใจ กลัวจะไม่ได้เรียนหมออย่างเดียว ดิ้นรนไปเรียนโรงเรียนดีๆ ไปแข่งกับพวกที่เรียนเก่งๆ พยายามเอาชนะเขาให้ได้ ตื่นแต่เช้าอ่านหนังสือเกือบทุกวัน ไม่ค่อยไปไหน อ่านหนังสือ อ่านๆๆๆๆๆ เป็นหนอนหนังสือเลยละ สายตาก็สั้นลงๆ ใส่แว่นหนาเปอะ
เอาเงินไปซื้อข้อสอบเก่าของแต่ละชั้นมาหัดทำเอง บางทีก็เรียนล่วงหน้าไปก่อนครูสอน โดยเฉพาะข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราซื้อมาเต็มบ้าน หัดทำจนจำได้ทุกข้อ ซึ่งทำให้เราสอบเข้าเรียนหมอได้อย่างสบาย และเราก็ได้เรียนหมอสมใจอยาก ได้ดูแลเตี่ยและแม่ จนตายจากไป แต่เตี่ยก็รักษาหมอจีนคู่กับหมอแผนปัจจุบัน ไม่ยอมเลิก รักษากับหมอจีนจนตาย ไม่ค่อยเชื่อเรา หาว่าเราไม่เก่ง แต่คนไข้บอกว่าเรารักษาเก่ง
สรุปว่า ที่ได้เรียนหมอ ก็เพราะ ความมุมานะที่ถูกเตี่ยดูถูก, และมีเป้าหมายชีวิต ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก เมื่อมีเป้าหมายก็ทำให้มีความพยายาม ขยันหมั่นเพียร เพื่อตะกายไปให้ถึงเป้าที่วางไว้เต็มที่ ถ้าทำเต็มที่แล้ว ไม่ถึงเป้าหมาย ตกลงมาก็ไม่เตี้ยติดดิน ใครที่มีลูก ก็ควรจะสอนให้ลูกตั้งเป้าไว้ ว่าจะเรียนอะไร จะเป็นอะไร ไม่ใช่เรียนไปเรื่อยๆ จะถึงเวลาสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเลือกอะไรดี อย่างนี้แพ้ตั้งแต่ยังไม่สตาร์ทแล้ว
By xam: ผมก็อยากเรียนน่ะ พรสวรรค์ให้มาทุกอย่าง ยกเว้น บ้านจนมากๆ เลยไม่มีปัญญาเรียน
ได้เรียนจบ ขั้นพื้นฐานก็บุญแล้วครับ ต้องช่วยงานบ้าน เข้าสวน แล้วไปเรียน กลับมาก็รีบเข้าสวนครับ ไม่ช่วยกันทำ ก็อด พ่อแม่ก็จบน้อยครับ เรื่องทุนอะไร เค้าก็ไม่รู้เรื่อง พอโตมา (อายุเบญจเพศ) เพิ่งรู้ว่า เรียนหมอ สอบให้ติดไว้ก่อน ตลอดหลักสูตรมันแพง นศพ. เลยเข้าโครงการทุน(เกือบ)หมด
ส่วนชีวิตชนบทไทย แต่ก่อนจบ ป.4, ป.6, ม.3 ก็ออกมาทำงานช่วยพ่อแม่ ไปฝึกงานเป็นช่างยนต์ ช่างเครื่อง ช่างสี ช่างอิเล็ค ไดนาโม ช่างไม้ ช่างปูน ค้าขาย บลาๆ
By kimeng suk: เดี๋ยวนี้ขอทุนเรียนได้ง่าย มีเงินยืมเรียนด้วย ถ้าไม่มีอะไรก็บอกนักข่าว เขียนเรื่องลงหนังสือพิมพ์ คนก็มาช่วยกันเยอะ ที่จังหวัดที่อยู่ก็ลงหนังสือพิมพ์ หลายคน สอบเข้าได้ไม่มีเงินเรียนหมอ
By Hamlet: ผมว่า จริงๆแล้ว ไม่มี พ่อ แม่ ที่ไหนจะมาดูถูกลูกตัวเองหรอกครับ มั่นใจแบบนั้น
By kimeng suk: เตี่ยคงไม่ได้ตั้งใจดูถูก แต่ไอ้เรามันเด็กซนมาก เตี่ยคงหมั่นไส้นะ เราก็รู้ แต่มันโมโห และอยากเอาชนะ
ตอนนั้นเป็นเด็ก คิดอย่างเดียวว่าต้องหาเงินเอง ไม่พึ่งเตี่ย ในจังหวัดที่อยู่ มีหมอไม่กี่คนสมัยก่อน แต่ละคนรวยมาก ไอ้เราเห็นเขาทำงานแค่ตรวจคนไข้ แล้วก็ฉีดยา ง่ายดีนะ แล้วใครก็ยกย่อง นับถือหมอ ก็เลยคิดเอาอย่าง
แต่พอมาเป็นจริงๆแล้ว ไม่ได้รวยเลย แค่ดีกว่าคนอื่นเล็กน้อย งานหนักมาก ถูกตามตลอดแม้ไม่อยู่เวร โดยเฉพาะโทรศัพท์ ดังทั้งวัน ขี้ไม่ออกเหยี่ยวไม่ออกก็โทรๆๆๆ จนตอนหลังค่อยไม่ให้โทรศัพท์ใคร
ตอนนี้ลูกสาวกำลังเรียนแพทย์ปี 3 ตั้งเป้าไว้เลยว่า ให้เป็นอาจารย์สอนแพทย์ ไม่ให้มาเป็นแพทย์เวชปฏิบัติเหมือนพ่อกับแม่ กินเงินเดือนก็พออยู่ได้
สมัยนี้รายได้แพทย์จบใหม่ๆปีแรก ก็ได้ 6-7 หมื่นแล้ว ไม่ต้องดิ้นรนทำงานพิเศษ สมัยก่อนจบใหม่ได้เงินเดือน 1,300 บาท ส่งน้องเรียน เกือบสิบคนไม่พอใช้ ต้องเปิดคลินิกหาเงินเพิ่ม
By xam: นั่นได้สารพัดค่าสิทธิ พิเศษ (สารพัดค่าจริงๆ) เหมือน พวกนายทหาร นายตำรวจ ผมเห็นแพทย์ ได้เงินตกเบิกตั้งเยอะ ตั้งแยะ งานก็ไม่ได้แบกหาม จับกัง แต่เป็นงาน ชุลมุน ผมเจอแพทย์ที่ไหน ก็บ่นว่าเหนื่อย คนไข้เยอะ นี่เป็นสิ่งที่เรารู้ว่าจะต้องเจอ ผมเลย งงๆ กับ ระบบราชการไทย ทำไมหน้าที่การงาน ของแต่ละหน่วยงาน ทำไมไม่จ่ายเงินเดือน+โอที ไปเลย เห็นคิดค่าโน่น นี่ ทับไป ทับมา ทำให้มันมีช่องว่าง ระหว่างความดี กับไม่ดี ที่จะคอรัปชั่นได้ เช่น องค์กรอิสระ
ผมเป็นคนไม่รู้จักคำว่า พอดี พอใช้ ของแต่ละท่านเป็นอย่างไร ของผมทุกวันนี้ ค่ารถ 25 บาท ไปกลับ ข้าวจานละ 30x3 มื้อ = 90 ค่าเช่าห้อง 150 ต่อวัน ดังนั้นวันหนึ่งผมต้องมี 265 หากวันไหนกิน 285 ชุดเล็ก โซดา 6 น้ำแข็ง 2 ก็ต้องเพิ่มอีก 256 บาท งานก็หนัก ร้อน แบกจอบ รดน้ำ เก็บผลผลิต ตื่นตีห้า เข้าห้อง ทุ่มหนึ่ง เป็นแบบนี้เกือบทุกวัน แต่ผมก็รักในงาน สรุป ผมต้องมีรายได้ 521 บาท ต่อวันผมจึงมีชีวิตที่มีความสุข ส่วนที่เหลือก็เป็นเงินออมฯ
By kimeng suk: ตอนเป็นนักเรียนแพทย์ จะเรียนหนักมาก สอบทุก 1-2 อาทิตย์ ต้องอ่านหนังสือเป็นตั้งๆ ชีวิตมีแต่ เรียน อ่าน ท่องจำ ฝึกงาน อยู่เวร ไม่ได้ใช้กำลังกายก็จริง แต่ใช้สมองหนักมาก นอนก็ไม่เต็มที่ และชีวิตก็หนักมาก ไม่ได้สนุกสนานเฮอาแบบวัยรุ่นทั้งหลายที่เรียนวิชาที่เบากว่า ถ้าไม่อ่านก็สอบตก ถูกไล่ออกก็มาก 6 ปีเต็มๆกว่าจะเรียนจบ จบแล้วต้องเรียนต่อผู้ชำนาญอีกสามปี กว่าจะเป็นหมอผู้ชำนาญได้เต็มตัว
พอเป็นหมอ ไม่ต้องอ่านมากแล้ว แต่ก็ต้องอ่านหาความรู้ตลอดชีวิต ไม่งั้นตามไม่ทัน งานก็หนัก ตรวจคนไข้วันละเป็นร้อยคน นั่งอยู่กับที่ก็จริง แต่ใช้สมองมากกว่ากำลังกายเป็นร้อยเท่า เครียด เพราะต้องรับผิดชอบชีวิตคน รักษาผิดคนไข้ตาย รักษาถูกคนไข้รอด ชีวิตหมออยู่กับงานและงาน
เวลาพักผ่อนมีน้อย ถึงเวลาพักส่วนตัวของหมอคนไข้ก็ตาม เพราะความตายเจ็บไข้ได้ป่วยมันไม่เลือกเวลา ทำสวนทำไร่ เหนื่อยกาย แต่ถึงเวลาพักเป็นพัก ไม่มีใครตาม ไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตใคร ไม่มีอยู่เวร ไม่ต้องเหนื่อยใจ ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้อง อ่านและท่อง สบายต่างกันมากนัก เงินน้อยกว่า แต่สบายใจกว่า เบากว่ามาก
ใครเป็นคนมีบุญมีความสุขมากกว่ากัน
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
เรามีพี่น้องร่วมพ่อแม่เดียวกัน 15 คนตายไป 3 เหลือ 12 แต่ละคนก็มีวิถีชีวิตของตัวเอง บางคนก็ร่ำรวย บางคนก็ยากจน อยู่ในเมืองไทยและอเมริกา พี่สาวถัดเราไปกับตัวเรานี่ มีวิถีชีวิตที่ทำให้เรา งงๆ อยู่ทุกวันนี้ ว่าใครกันแน่ที่ได้ดี มีความสุขและประสพความสำเร็จในชีวิต
พี่สาวคนนี้แก่กว่าเราหนึ่งปี พี่สาวเป็นคนผิวขาว ไม่ค่อยสวย เรียบร้อยเป็นผู้หญิง ไม่ม้าดีดกะโหลกแบบเรา เขาเรียนไม่เก่ง จึงไปเรียนสายพาณิชย์ จบแค่ ปวช. แล้วออกมาช่วยเตี่ยทำงานที่โรงเลื่อย เป็นคนค้าขายเก่ง คล่องและพูดเก่ง ใจกว้าง ฉลาด กล้าได้กล้าเสีย
พี่สาวตั้งใจจะแต่งงานกับหมอให้ได้ จึงเข้าไปสนิทกับพยาบาลของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ มีนักเรียนแพทย์หนุ่มๆมาก เพราะเป็นคนใจกว้าง พูดเก่ง จึงจัดเลี้ยงขึ้นบ่อยๆ ตรงโน้นตรงนี้ เชิญนักเรียนแพทย์ พยาบาล มาสังสรรค์กัน จนในที่สุดก็มีหนุ่มนักเรียนแพทย์มาจีบหลายคน
แล้วในที่สุดก็ตกลงเป็นแฟนกับพี่เขย แต่งงานกัน แล้วก็ย้ายไปอยู่อเมริกา มีลูก 3 คนเป็นชายทั้งหมด พี่สาวต้องเลี้ยงลูกเอง ทำทุกอย่างหมด แต่พี่สาวไม่ต้องหาเงินเพราะไม่ใช่หมอ ไม่ต้องดูแลคนไข้ ไม่ต้องถูกปลุกถูกตาม พี่เขยต้องทำเพราะเป็นหมอ จนลูกๆโตขึ้นมีทำงานมีหลักมีฐานทุกคน ตอนนี้พี่สาวกับพี่เขยอยู่กับลูกคนเล็ก ซึ่งเอาสะใภ้ไทยมาดูแลพ่อแม่ และให้เงินพ่อแม่ใช้ ไม่ต้องทำงานอะไรแล้ว อยากเที่ยวก็ไปเที่ยว อยากช๊อปปิ้งก็ไปซื้อได้ตามใจชอบ มีฐานะดีมีเงินเก็บมากพอควร
ส่วนเราเรียนเก่งตั้งแต่เด็ก ตั้งเป้าเป็นหมอก็ได้เป็นสมใจอยาก แต่ก็ต้องขยันหมั่นอ่านหมั่นท่อง เรียนและเรียนอย่างหนัก ไม่มีเวลาไปเที่ยวเตร่แบบคนอื่นๆรุ่นเดียวกัน อยู่เวรบ่อยๆ มีเวลานอนน้อย ถูกตามแม้กระทั่งเวลากินข้าว บางครั้งต้องทิ้งชามข้าว ตาแหกไปดูคนไข้ แต่งงานกับหมอเหมือนกับพี่สาว สามีก็แบบเดียวกัน เป็นหมอสูติกรรมทำคลอด ผ่าตัด กลางคืนก็ถูกปลุกเกือบทุกคืนไปทำคลอด ปลุกสามีก็เหมือนปลุกเราด้วย ปลุกเราก็เหมือนปลุกสามีด้วย สรุปแล้วเป็นหมอสองคนก็ถูกปลุกสองเท่า
เราทั้งสองทำงานหนัก ทั้งรับราชการ เปิดคลินิกส่วนตัว ส่งน้องๆสามีเรียนสิบคน จนจบมหาวิทยาลัยทุกคน ทำงานหนัก จนเกษียร อายุเกินหกสิบก็ยังทำคลินิกส่วนตัว งานน้อยลงไม่หนักเหมือนเดิม แต่ก็ต้องทำมาหากินอยู่ มีบ้าน มีรถ แต่เพิ่งใช้หนี้หมด เพราะโลภมากไปเล่นหุ้น เลยเจ๊งสนิท
จะไปเที่ยวหรือซื้อของตามใจชอบยังไม่ได้ ต้องหาเงินมาให้พอใช้จ่าย ไม่มีเงินเก็บ แต่ก็สุขสบายใจดี มีลูกก็บวชเป็นพระย่างเข้า 9 พรรษาแล้ว ท่านก็ไม่มีเงินให้โยมพ่อโยมแม่ เพราะท่านไม่ค่อยรับกิจนิมนต์ เป็นพระอาจารย์สอนสมาธิส่วนมาก ได้แต่เอาบุญมาฝากโยมพ่อโยมแม่ เมื่อท่านได้ไปทำบุญมา พ่อแม่ก็ได้แต่อนุโมทนาบุญกับท่าน ได้บุญไปด้วย (ท่านบอกว่ากลัวโยมพ่อโยมแม่ได้บุญน้อย ชาตินี้ก็บุญน้อยถึงได้เจ๊งหุ้น) ลูกสาวก็กำลังเรียนแพทย์ ยังไม่จบ ต้องใช้เงินมากอยู่ ชื่นใจตรงที่ลูกสาวเรียนเก่งมาก ได้ที่หนึ่งทุกปี และคาดหวังว่า จะเป็นนักเรียนเหรียญทองเมื่อเรียนจบ
ท่านอ่านดูแล้ว ลองวินิจฉัยดูหน่อยนะว่า ระหว่างพี่น้องสองคนนี้ ใครมีบุญ สุขสบายมากกว่ากัน ระหว่างคนที่เรียนเก่งได้เป็นหมอเองแต่ต้องทำงานเองหนักมาก ต้องหาเงินเอง ถึงจะอยู่ได้ กับคนที่เรียนไม่เก่งแต่ได้แต่งงานกับหมอ ไม่ต้องทำงานเป็นหมอ แต่มีหมอหาเงินให้ ใครหนอมันจะมีบุญมากกว่ากัน???? (อยู่อเมริกา ใช้หมอคนเดียวก็หาเงินได้ พออยู่เมืองไทย ใช้สองหมอ ยังไม่ได้ครึ่งของอเมริกา)
และระหว่างอยู่อเมริกากับเมืองไทยอยู่ที่ไหนดีกว่ากัน อยู่อเมริกาหาเงินได้มาก เป็นเศรษฐี แต่ไกลพระพุทธศาสนา กับอยู่เมืองไทย ใกล้พระพุทธศาสนา แต่ไม่ค่อยจะมีเงิน????
By p.nan: ใครมีบุญกว่า ใครมีความสุขกว่า
บุญเกิดจากการประกอบกรรมดี แต่ละคนต่างสะสมความดี ตามกาละและเทศะที่ไม่เหมือนกัน
ความสุข อาจมองเป็น feedback ของบุญ พุทธศาสนาสอนว่า ความสุขคือความสงบ จิตไม่ทุกข์ ไม่ฟุ้งซ่าน
สรุป ไม่มีใครรู้อย่างแท้จริงนอกจากตัวเอง
By flowervoice: คำถามแบบนี้เหมือนคนที่ปลงไม่ตก บ่งบอกถึงเรื่องคาใจ...หรือแกล้งถามเล่นๆคะ?
By kimeng suk: ปลงตกเรื่องหุ้นตั้งนานแล้ว เรามันโลภเอง แต่มันขำตัวเองว่า อุตส่าห์ตะกายเกือบตาย เพื่อมาหางานหนัก สุดท้ายก็ต้องตายไปเหมือนกันกับคนอื่นๆ ที่เขาไม่ต้องตะกายมากอย่างเรา
By บีเว่อร์: ความคิดผมคนเดียวนะ พี่กิมเอ็งอย่าไปยึดติดกับคำว่าหมอเลยครับ มันธรรมดานะสำหรับคนที่เป็นหมอ เรื่องที่กินข้าวอยู่แล้วต้องวางช้อนวางชามไปรับคนไข้ อันนี้ก็ปกติอ่ะ
นักเรียนแพทย์สมัยก่อนเข้าเรียนโดยไม่รู้เลยว่า เรียนหมอแล้วต้องมาเจอกับอะไรบ้าง นี่จึงเป็นเหตุผลให้คนที่เข้าไปเรียนเบื่อหน่ายไม่ชอบ บางคนก็ทิ้งเรียนไปซะเฉยๆ
สำหรับตัวผมเอง ผมสอบเทียบวุฒิ ม.6 ที่ ร.ร.รัฐบาลแห่งหนึ่ง แล้วก็สมัครโควต้าของศิริราชพยาบาลในปีที่สองที่มีการรับสมัครเป็นของศิริราชโดยตรง โดยจะรับ 50 คน และจะสอบก่อนมีเอนทรานซ์ปกติ ซึ่งตอนนั้นมีแค่พันคนเอง
คือว่าถ้าเราพลาดโควต้าศิริราช 50 คน เราก็จะมีโอกาสแก้ตัวกับเอนทรานซ์อีกครั้ง ซึ่งนับว่าหินกว่าเป็นไหนๆ แต่ก่อนจะเข้าสอบ ผู้สมัครโควต้านี้ก็ต้องไปฝึกงานที่ รพ.ก่อนระยะหนึ่ง จะขึ้นวอตไปคลุกคลีกับผู้ป่วยใน แล้วมีพี่พยาบาลและ อจ.แพทย์ พาไปราวน์แบบอินเทินสมัยเก่า (สมัยผมเป็น เอ๊กเทิน)
ผมอยู่วอตศัลยประสาท โอ้วว สุโค่ย เป็นภาพที่น่ากลัวสำหรับเด็กสอบเทียบ ม.6 อย่างผม แต่ผมก็ประทับใจ ว่างเป็นต้องช่วยงานพี่พยาบาล จนพี่ๆเรียกเราหมอล่วงหน้าก่อน
ผมจึงไม่แปลกใจอะไรเลยกับงานที่หนักหนาจำเจ ไม่สะอาด และอีกต่างๆนานาฯลฯ จนมาบัดนี้เฉยๆกะงาน ไม่รู้สึกอะไรกับบุคลกรด้านนี้
มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเจ็บป่วยได้ เมื่อป่วยเอง แม๊เป็นถึง อ.ก็ต้องลดเกรดเป็นคนไข้นอนน้ำตาซึมบนเตียงไม่ใหญ่เหมือนเคย ก็เลยวางใจให้เป็นกลางๆ ไม่คิดมาก เรื่อยๆ แหะๆ (แวะคุยด้วยครับ)
By kimeng suk: เรียนหมอเรียนได้ แต่จะสบายหน่อยถ้าเป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์ มีแพทย์รุ่นน้องๆให้ถูกตามก่อนจะมาถึงอาจารย์ นานๆถึงจะถูกตามครั้งหนึ่ง ชีวิตสบายกว่าหมอตามโรงพยาบาลต่างๆ แต่เบื่ออ่านหนังสือ ต้องอ่านๆให้ทันเขา
เป็นแพทย์ดีตรงที่ไม่ต้องหางานทำ จบแล้วมีงานเลย พ่อแม่สบายใจได้ว่าอย่างไร ลูกมีงานทำแน่นอน แต่ในอนาคตไม่แน่ถ้าจบกันมามากๆ รายได้เทียบกับเรียนอย่างอื่นก็ดีกว่า มั่นคงกว่า แต่ต้องทำใจ เอารายได้มาก เขาจ่ายมาแพง ก็ใช้เราคุ้ม เหนื่อยขี้ข้า
By KMD: สุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจเป็นสำคัญ เงินน้อยก็แค่ลำบากกาย ไม่ใช่ทุกข์ และสบายกายก็ไม่ได้หมายว่ามีสุข กิเลสและตัณหาเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ แม้มีเงินมาก แต่ถ้าไม่เคยพอใจ ก็ยังทุรนทุรายดิ้นรนหาทางสนองกิเลสตัณหา จึงเป็นทุกข์อยู่ตลอด ที่สำคัญ สุขและทุกข์ไม่ใช่เรื่องเปรียบเทียบกันได้ เพราะเราวัดความพอใจ (เป็นสุข) หรือความไม่พอใจ (เป็นทุกข์) ของคนอื่นไม่ได้
การที่ท่านเอาตัวไปเปรียบเทียบกับพี่สาวของท่านต่างหากละที่แสดงว่าท่านไม่ได้พอใจในชีวิตของท่าน ท่านจึงยังมีทุกข์อยู่ บุญที่ท่านทำจะสร้างสุขให้ท่านได้ มันต้องทำให้ท่านรู้สุขอิ่มเอิบ ไม่ใช่เพราะหลวงพ่อท่านบอกนะครับ
เรื่องอาชีพนั้น ผมเห็นแต่เด็กๆแล้วว่า หมอไม่ใช่อาชีพที่น่าสนใจหรือน่าตื่นเต้นอะไร ผมจึงไม่เคยสนใจอยากเรียนเป็นนายแพทย์เลย เมื่อท่านเห็นว่าอาชีพหมอลำบากแล้ว ทำไมสนับสนุนให้ลูกเรียนหมอละครับ
By kimeng suk: เขาอยากเรียนเอง และเขาตั้งใจไปเป็นอาจารย์แพทย์ไม่มาทำงานแบบเวชปฏิบัติ ไปเป็นนักวิชาการ ซึ่งก็จะสบายกว่า งานไม่หนัก มีเกียรติ รายได้ก็อยู่ได้
By KMD: คิดง่ายแบบเด็กๆ นะครับ แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็คิดกันเช่นนี้ คือคิดเรียนหนังสือให้สูงสุดโดยเร็วแล้วจะมีความรู้ มีเงินเดือนสูง และมีเกียรติมีชื่อเสียง ระบบราชการไทยก็เป็นเช่นนั้น คือคนจบใหม่แล้วรับราชการเลย ได้เปรียบ อาจารย์มหาวิทยาลัยในเมืองไทยส่วนใหญ่จึงทำงาน (ที่ไม่ใช่การสอนหนังสือ) กันไม่เป็น การศึกษาไทยถึงได้ล้มเหลว อย่างเช่นทุกวันนี้
ใช่ครับ แพทย์ ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่นับถือของคนทั่วไปได้ในปัจจุบัน เป็นอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยทั้งนั้น แต่ท่านเหล่านั้นมีชื่อเสียงได้ก็ด้วยผลงานเวชปฏิบัติของท่าน ที่คนไข้ได้บอกต่อๆกัน ไม่ใช่เพราะความเป็นอาจารย์แพทย์ของท่าน
อ่านแต่ในหนังสือ ไม่เห็นและประสพปัญหาจริง แล้วจะพัฒนาหาความรู้เพื่อสร้างชื่อเสียงได้อย่างไร ผมเข้าใจว่างานแพทย์ จะเชี่ยวชาญได้ ต้องมีประสบการณ์จริงครับ
By kimeng suk: หมายถึงว่าลูกสาวเขาไม่อยากจะ เปิดคลินิก ไม่อยากจะมาทำเวชปฏิบัติในโรงพยาบาลทั่วไป ซึ่งหนักมาก เขาเป็นอาจารย์ อ่านๆๆๆๆและสอนๆๆๆและเวชปฏิบัติในโรงเรียนแพทย์ก็พอแล้ว เขาพอใจแล้ว อาจารย์แพทย์ของเราก็ทำเช่นนี้ แต่ที่ไปเปิดคลินิกส่วนตัวมันเป็นเรื่องการอยากมีรายได้เพิ่มเป็นเรื่องของท่าน
ที่เปรียบเทียบให้เห็นก็เพื่อที่จะบอกให้รู้ว่า คนเรานี้มีต้นทุนบุญ ที่ติดตัวมาแต่เกิดไม่เท่ากัน คนมีบุญมาก บุญก็จะพาชีวิตให้ดำเนินไปสู่ความสุข เกิดมาก็ออกแรงดิ้นรนเพียงเล็กน้อยก็ประสพความสำเร็จ แต่บางคนบุญมีน้อย เกิดมาก็ต้องดิ้นรนอย่างมาก ก็ยังไม่สำเร็จเพราะไม่มีบุญเก่ามาเสริม ชาตินี้เรายังเป็นอย่างนี้ ชาติหน้าก็จะเป็นแบบนี้อีก
ฉะนั้นถ้าเราไม่สั่งสมบุญในชาตินี้ให้มากๆ เพื่อจะให้เรามีบุญมากในชาติหน้า จะหนีไม่พ้นวังวนแบบเก่าซ้ำซากแบบเดิมๆๆ จนกว่าชาติใดชาติหนึ่ง เราเกิดไปสร้างบุญอะไรที่มากพอ บุญนั้นก็จะพาเราหลุดออกมาได้ มิฉะนั้นก็จะวนไม่มีสิ้นสุดจนกว่าจะหมดกรรมนั้นๆ (จากพระไตรปิฎก)
เรื่องของพี่สาวและตัวเรา ชีวิตแตกต่างกันก็เพราะ กรรมดีและกรรมชั่วที่ต่างคนต่างมี พี่สาวต้องมีบุญเรื่องการทำทานมามากกว่าเราในชาติก่อน บุญจึงมาส่งผลให้รวยกว่าในชาตินี้ แต่เขาไม่ได้ทำสมาธิภาวนาในชาติก่อน จึงเรียนไม่เก่ง
ส่วนเรา มีบุญที่ได้ทำสมาธิ ภาวนาในชาติก่อนมามากกว่าพี่สาว ถึงได้มีปัญญา เรียนเก่งกว่า แต่ไม่มีบุญจากการทำทานมากเท่าพี่สาว จึงไม่รวยเหมือนเขา ชาติก่อนเราคงเป็นคนขี้เหนียว ตะหนี่ และอาจจะไปโกงใครมาก็ได้ จึงทำให้เจ๊งหุ้นไป
By KMD: การเชื่อเรื่องทำบุญแล้วได้ผลดีในชาติหน้า เป็นศรัทธาในศาสนาพุทธในระดับชาวบ้าน ผมก็เคยเชื่อแบบนั้นเมื่อยังเป็นเด็ก เมื่อมีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น มีความรู้เพิ่มขึ้น พิจารณาไตร่ตรองนานขึ้น ก็ขอสารภาพว่า ศรัทธาในรูปแบบนี้ลดลงเรื่อยๆ จนเดี๋ยวนี้ ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม (ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว) แล้วครับ
ในทางชีววิทยา สิ่งมีชีวิต ดำรงชีวิต และดำรงเผ่าพันธุ์ตนเองได้ก็ด้วยกิเลสตัณหาและการเบียดเบียนชีวิตอื่น พิเคราะห์ดูแล้ว เศรษฐีทั้งหลายทั้งที่ชอบทำบุญและชอบทำบาป ร่ำรวยมหาศาลได้ก็ด้วยความโลภในจิตผลักดันทั้งนั้น แล้วเป็นไปได้หรือที่ในอดีตชาติคนเหล่านี้จะเป็นคนใจบุญ (มีความโลภน้อย) และทำบุญด้วยใจที่เป็นกุศล การทำบุญเพื่อหวังลงทุนไว้ชาติหน้า ใจย่อมไม่ใช่โดยจิตกุศลครับ มิฉะนั้นคนจนจะไม่มีโอกาสเกิดเป็นเศรษฐีเลยเพราะพวกเขาไม่มีเงินทำบุญมากๆ แล้วทำไมฆาตรกรโหดร้ายทั้งหลาย ซึ่งมีจิตใจชั่วช้าในชาตินี้ จึงเป็นคนดีในอดีตชาติจนได้เกิดเป็นคนในชาติปัจจุบันได้ เสือที่ต้องดำรงชีพด้วยการฆ่า (บาป) มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ไหม
By boy: สิ่งมีชีวิต บางอย่าง เช่น วัว ควาย มันก็กินแต่หญ้า นะ หรือ แร้ง ก็กินแต่ซากของสัตว์ ที่ตายแล้ว ไม่น่าจะเรียกว่า เบียดเบียนใคร
By KMD: พืชก็สิ่งมีชีวิตที่ต้องการดำรงชีวิตและต้องการแพร่พันธุ์ตนเองเหมือนกัน ต่างจากสัตว์ตรงไหน หากบอกว่าพืชไม่มีวิญญาณ โปรดนิยามคำว่าวิญญาณด้วย จะได้รู้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดใดมีวิญญาณที่นำมากินแล้วบาปบ้าง สัตว์ตั้งแต่ระดับไหนขึ้นมา วัว ควาย แม้ไม่ฆ่าสัตว์เพื่อดำรงชีพ แต่มันก็ทำร้ายกันเองเพื่อแย่งกันสืบพันธุ์ ก็ไม่พ้นเบียดเบียนกันเองเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์เหมือนกัน แล้วเพราะกินพืชโดยธรรมชาติ ถือทำบุญไหม
By kimeng suk: วิญญาณคือสิ่งที่ต้องมี เห็นจำคิดรู้ ประกอบกันขึ้นมา แต่ไม่มีตัวตน พืชไม่มีเห็นจำคิดรู้ พระพุทธองค์ถือว่าไม่มีวิญญาณ สัตว์มีวิญญาณ มีเห็นจำคิดรู้ จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร
By KMD: ท่านเรียนชีววิทยามากกว่าผม อยากทราบว่า สัตว์ตั้งแต่ phylum หรือสัตว์ multicells ระดับไหนขึ้นมาครับ ที่มีวิญญาณ แล้วทำไมสัตว์ต่ำกว่านั้นจึงไม่มีวิญญาณ
สัตว์ชั้นต่ำก็มีการกิน การสืบพันธุ์ การหนีตาย แล้วต่างอะไรกับสัตว์ที่มีวิญญาณ (ตามความหมายของท่าน) ครับ
Hydra มีวิญญาณไหม หนอนมีไหม
By tweepsai: อย่างน้อยก็ไปเบียดเบียน หนอน แบคทีเรีย แมลงเล็กๆ ล่ะครับ
By kimeng suk: พระพุทธเจ้ายังทรงยกลูกของตัวเองให้ชูชก เพื่อหวังผลบุญที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วคนธรรมดาทำบุญเพื่อสั่งสมบุญให้ชีวิตของตัวเอง ดีขึ้นมันผิดตรงไหน หรือจะให้ทุกคนไม่ต้องทำความดี ไม่ต้องทำทานเพราะหาว่ามีความโลภในบุญ ใช่ไหม พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงห้ามการสั่งสมบุญ ทำบุญแล้วยังทรงให้อธิษฐานจิต เพื่อสั่งสมอธิษฐานบารมีด้วยซ้ำ นางวิสาขาในชาติหนึ่งยังถวายผ้าจีวรจำนวนมาก แล้วยังอธิษฐาน หวังขอเป็น มหาอุบาสิกาในภพชาติต่อไป
ฆาตกรโหดร้ายที่มาเกิดเป็นคนได้ในชาตินี้ อาจจะมาจาก หลายทาง
1)ไปตกนรก เปรต อสุรกาย สัตว์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือตามขั้นตอน ใช้บาปกรรมหมดแล้ว บุญก็ไม่มีขึ้นสวรรค์ไม่ได้ ก็มาเกิดเป็นคน เพื่อเลือกที่อยู่ใหม่ พวกนี้ก็อาจจะกลับมาใจชั่วอย่างเดิม หรืออาจเป็นคนดีก็ได้ ใจคนเราไม่คงที่ มิฉะนั้นคนชั่วก็เปลี่ยนใจเป็นคนดีไม่ได้ซิ เอาแค่บางคนไปบวช ยังเปลี่ยนตัวเองเป็นคนดีได้เลย องคุลีมาลย์ฆ่าคน 999 คนสุดท้ายใจยังเปลี่ยนเป็นพระอรหันต์ได้ นั่นสุดยอดของความดีเลยนะ
2)เป็นคนที่ดีในชาติก่อน หมดบุญจากสวรรค์ลงมาเกิดใหม่ แต่เผลอปล่อยใจทำความชั่วตอนเป็นมนุษย์ชาตินี้ เลยกลายเป็นฆาตกร เพราะเป็นคนดีชาติก่อนก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนดีในชาตินี้ด้วย อะไรมันก็เปลี่ยนได้ พระพุทธเจ้าถึงบออกว่า มีภัยในวัฏฏสงสาร ชาติก่อนดี อยู่สวรรค์ ชาตินี้เผลอใจทำชั่ว ก็จะตกนรกได้
3)ตายจากคนก็เกิดเป็นคนอีก จะดีหรือไม่ดี ใจคนมันเปลี่ยนได้ มันมาเกิดเป็นเสือเพราะทำกรรมในอดีตชาติ อะไรซักอย่างทำให้มันต้องมาเกิดเป็นเสือชาตินี้ ชาติต่อไปอาจจะไปเป็นอะไรก็ได้ วนเวียนอยู่จนหมดกรรมที่ได้กระทำมา บุญหรือบาปกรรมนั้น ถ้าทำตอนเป็นมนุษย์จะส่งผลหลายภพชาติ แต่มันเป็นเสือ เป็นสัตว์ จิตสำนึกเรื่องบาปบุญคุณโทษไม่มี อันเป็นธรรมดาของสัตว์ แต่คนมีจิตสำนึกนี้ เราถึงต้องมีกรรมติดตัวไปในภพชาติอื่นๆ
By KMD: ท่านหมอศรัทธา ก็เรื่องของท่านหมอครับ ผมมีวิกิจฉา (ข้อสงสัย) สูงมากเกินไป จึงเปลี่ยนจากเชื่อ เป็นไม่เชื่อ
เรื่องชาดกเป็นเรื่องความเชื่อล้วนๆ ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนตามที่คนไทยเราเชื่อกัน เพราะพุทธนิกายอื่น ก็ไม่มีเรื่องชาดกที่เหมือนเรา พระไตรปิฎกของศาสนาพุทธแต่ละนิกายมีรายละเอียดห่างกันมากครับ
เรื่องเวียนว่ายตายเกิดเป็นอนันตชาติ ก็ความเชื่อล้วนๆ ไม่มีหลักฐานเช่นกัน ถ้าเป็นไปตามความเชื่อนี้ อดีตชาติเก่าๆของมนุษย์ปัจจุบันก็ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ เพราะโลกใบนี้เพิ่งมีมนุษย์ที่มีซิวิไลซ์ตามชาดก ก็เพิ่งหมื่นกว่าปีนี้เองเป็นอย่างมาก (มนุษย์เพิ่งมีจำนวนมากและรวมตัวกันอยู่ในนครรัฐก็ยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นปีด้วยซ้ำ)
คนเราเปลี่ยนใจ (ความคิดและความเชื่อ) กันง่าย แต่เปลี่ยนนิสัยสันดานยากครับ โลภะ โมหะ โทสะ อยู่ในสันดานครับ ไม่เคยเห็นใครเปลี่ยนนิสัยและสันดานนี้โดยฉับพลัน แต่เปลี่ยนเนื่องจากวัย ซึ่งสาเหตุที่สำคัญมาจากฮอร์โมนเปลี่ยน
ที่พูดมาทั้งหมด ผมไม่ได้ต่อต้านหรือโต้แย้งพระพุทธศาสนา เพียงแต่โต้แย้งความเชื่อของศาสนิกชนชาวพุทธบางกลุ่มครับ
By tweepsai: ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค หาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมเราถึง เจ๊งหุ้น เช่น ซื้อตามเขาไป ไม่มีความรู้ โลภ ไม่มีเวลาติดตาม ฯลฯ ถ้าจะพูดถึงธรรมะ ต้องเข้าใจคำสอนด้วย ไม่ใช่มีปัญหาก็บอกว่า ชาติที่แล้วทำบุญมาน้อย อย่างนี้ไม่ใช่คิดแบบ ธรรมะ
By แดงเข้ากระดูก: เอาเงิน เอาทองไปให้พระที่มีคนบริจาคมากๆ กับการที่เราไปช่วยชีวิตครอบครัวหนึ่งที่หมดหวังสู้แทบขาดใจแต่ปัญหามากมายเจ็บป่วยสารพัดเรื่องประดังประเดเข้ามา เราไม่มีเงินเยอะแต่มอบให้พอที่จะช่วยชีวิตครอบครัวนี้ไปได้ครึ่งปี และพวกเขาก็ฟื้นตัวขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตได้ดีพอสมควร เรารู้สึกดีใจมากๆที่เราไม่ได้เอาเงินไปให้พระที่ร่ำรวย อยากถามว่า ทำบุญกับพระ กับทำบุญกับคน จะรู้ได้อย่างไรว่าทำบุญเยอะได้บุญเยอะ ทำบุญน้อยได้บุญน้อยหรือทำกับพระ หรือทำกับคน (งงคำถามตัวเอง) ขอโทษที่นอกเรื่อง พินาแล้วตอบไม่ถูกนะที่คุณหมอถาม เพราะความสุขของคนมันไม่เหมือนกัน กับ ถ้าเราคิดว่าใจเราสุข เรื่องเงินน่าจะเป็นเรื่องที่สองนะ
By kimeng suk: พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนว่า ทำบุญต้องเลือกเนื้อนาบุญ ซึ่งหมายถึงผู้ที่รับทานของเราไปนั้น ถ้าจิตใจบริสุทธิ์เท่าไหร่ ก็ยิ่งได้บุญมากเท่านั้น ทรงกล่าวว่า ทำบุญกับสัตว์ทำ10 ส่วน ได้บุญ 100 ส่วน ทำกับคนทุศีล ได้ 1,000 ส่วน ทำกับคนมีศีล 5 ได้ 10,000 ส่วน ทำกับพระได้ เป็นล้านส่วน ยิ่งพระผู้ปราศจากกิเลศยิ่งได้บุญมากไม่สามารถคำนวณได้ นี่ไม่ได้พูดเอาเองนะ มาจากคำสอนของพระพุทธองค์จริงๆ
เอาเงินไปช่วยคนจนเจ็บป่วยก็ได้บุญนะ แต่เราลองมาคิดดูว่า คนจนได้เงินเราก็ฟื้นตัวอยู่ได้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็หาย ต่อชีวิตเขาได้ บุญมากโขอยู่ แต่เขาไม่ได้ช่วยคนอื่นเลยนะ ช่วยได้แต่ครอบครัวของเขาเท่านั้น จะมีกี่คนที่จะไปช่วยคนอื่นต่อ
แต่ถ้ามีพระองค์หนึ่ง เป็นพระที่ช่วยสอนคนให้เป็นคนดี ให้รู้จักมีศีล มีธรรม ไม่เบียดเบียนคนอื่น ทำประโยชน์ให้คนอื่น ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่สังคม สอนคนให้เป็นคนดีแค่หนึ่งคน ลดความเดือดร้อนแก่คนอื่นได้มากมาย อย่างฮิตเล่อร์ ถ้ามีคนไปสอนเขาให้เข้าใจบาปกลัวบาป เขาก็จะไม่ฆ่าคนยิวถึง 6 ล้านคน
โลกเรามันเดือดร้อนทุกวันนี้ก็ที่ใจเป็นใหญ่ สงครามโลกเกิดขึ้นก็เพราะใจใช่ไหม ถ้ามีพระช่วยสอนให้คนมีใจที่ดีมากๆทั้งโลก ความสงบก็จะเกิดขึ้นได้
เราทำบุญกับท่านๆก็เอาไปใช้ประโยชน์ต่อมากมายเพื่อให้เกิดความสงบร่มเย็นของสังคมขึ้นมา เรารู้ว่าท่านทำจริง เงินของเรามีประโยชน์จริง เราถึงอยากทำบุญกับท่าน เพราะรู้เห็นว่าท่านไม่ได้เอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ผลงานมีมากมายให้เราเห็น ประโยชน์ต่อมนุษย์มันต่างกันกับช่วยคนๆเดียว
แต่ถึงอย่างไรเราก็เลือกทำบุญกับพระที่เป็นพระแท้และทำดีจริงๆ ทำบุญต้องเลือกเนื้อนาบุญไง และเราก็ไม่ลืมที่จะแบ่งทำทานกับคนทั่วๆไปด้วย เป็นการสงเคราะห์โลก
By KMD: พระสงฆ์สอนว่า พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญชั้นดีนั้น เป็นเรื่องของประโยชน์ทับซ้อนครับ ในสมัยพุทธกาล ชาวบ้านยังอยู่กันอย่างยากชนข้นแค้นเป็นส่วนใหญ่ พระภิกษุก็ยากจนเหมือนชาวบ้าน แถมพระวินัยซึ่งไม่ได้ยินยอมให้พระภิกษุสะสมทรัพย์อีกต่างหาก การทำบุญกับพระภิกษุที่ยากจนเหมือนชาวบ้านแล้วได้บุญมากกว่าการให้ทานชาวบ้าน จึงมีเหตุผลครับ
แต่ปัจจุบัน พระภิกษุร่ำรวยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะธรรมกาย ผมว่าเหตุผลนี้ ใช้ไม่ได้แล้ว
By kimeng suk: ถ้าพระท่านได้ปัจจัยมาแล้วนำเอาไปทำประโยชน์แก่มวลมนุษย์จริงๆ เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ทั้งการดำเนินการ การก่อสร้างบอกอย่างไรทำอย่างนั้นทำเพื่ออะไรก็บอก และก็เห็นประโยชน์ชัดเจน มีหลักมีฐาน สอบทานได้ตลอดเวลา ไม่มีการปิดบัง กิจกรรมต่างๆก็เปิดเผยทั้งในและต่างประเทศ เราบริจาคไปก็เพราะเราเห็นว่า เขาทำจริงเอาเงินของเราไปใช้เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์จริงๆ นี่ต่างหากละที่ทำให้คนบริจาคมากมาย
By KMD: ผมยังไม่เห็นประสิทธิผลของธรรมกายที่ทำให้คนเป็นคนดี เห็นแต่การสร้างภาพ เห็นแต่ศิษย์ธรรมกายมีแต่ความโลภ และโมหะ ไม่รู้ว่ามาจากเหตุที่สอนให้ทำบุญมากๆ เพื่อชาติหน้าหรือเปล่า เห็นแต่ศิษย์ธรรมกาย ที่ยังแสดงอาการยึดติดมากๆ กับนรก สวรรค์ ชาตินี้ชาติหน้า หลงใหลในอัตตาตัวเอง และภาพหลอนในระหว่างเข้าสมาธิ ที่สำคัญคือยังแสดงอาการมีทุกข์อยู่มาก ศรัทธาในศาสนา กับความงมงาย มันใกล้กันมากครับ
ผมขัดคอมากแล้ว ขอโทษครับ เปลี่ยนผู้อาวุโสอย่างท่านไม่ได้หรอก
By นาปลัง: ผมว่าพี่สาวนะเขามีบุญ คิดทำสิ่งใดได้สมความปรารถนา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความสุขอยู่ที่ใจ ก็ไม่ทราบว่าพี่สาวท่านสุขกายสบายใจหรือเปล่า ตัวพี่สาวหรือตัวท่านเองนั่นแหละจะรู้ดีที่สุด
By นานา: ความสุขอยู่ตัวเราเป็นคนกำหนด เรื่องบุญมากหรือน้อยอยู่เราคิด หากเราไม่คิดเปรียบเทียบกับใคร เราก็จะมีความสุขมากขึ้น
By sri123: ตอนเล็กๆ แม่สอนว่า ลูกอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครเลยนะคะ ถ้าเมื่อไหร่ที่เกิดการเปรียบเทียบ นั่นแปลว่า ลูกกำลังดูถูกตัวเอง
พอโตขึ้นมา สิ่งที่สอนตัวเองทุกวัน อดีต แก้ไขไม่ได้ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด นั่นคือความสุขที่เราเลือกทำได้ค่ะ
แวะมาทักทายคุณหมอเฉยๆ เรื่องคนอื่นเป็นยังไง เราก็แค่คนมอง รู้อะไร ไม่สู้รู้ใจตัวเอง แบบนั้น ก็เลยตอบแทนชีวิตคนอื่นไม่ได้ค่ะ...
By khunpee: เกิดมาก็ไม่มีอะไรติดมาเลย ทุกอย่างที่เห็นที่เป็นในเวลานี้ก็ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง หมั่นสร้างบุญสร้างกุศลเถอะค่ะ เวลาเราเหลือน้อยลงทุกที ถ้ามันจะตายไปก็ไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยแม้สลึงเดียว บาปและบุญที่เราทำในตอนมีชีวิตนี่แหละเป็นเพื่อนตายของเรา มันจะตามเราไปทุกหนทุกแห่งทุกภพทุกชาติ