@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ เข้าครัว...ทำกับข้าวคลายเครียด!! ผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ สถานีรถไฟจีน แล้วลองย้อนมาดูเรา...
@ เรื่อง... ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112 ม.๑๑๒ ม.112
@ "วรเจตน์" ฝ่าศึกสหบาทา: ร้องว่าผมเนรคุณ แต่คุณยืนให้สูงเพื่อบอกว่าจงรักภักดี โดยเหยียบหัวผมขึ้นไป
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...
ขอขอบคุณและขออนุญาตคุณ kimeng suk นำข้อเขียนของท่านมาลงไว้เว็บนี้..
ทำไมถึงจนอย่างนี้
By: kimeng suk เว็บประชาทอล์ค
ตอนที่1 "ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา"
ตอนที่2 "คนไข้คนแรกของหมอใหม่หมาดๆ"
ตอนที่3 "ผีหลอกหมอ"
ตอนที่4 "อะไรทำให้ รวยและ รวย จากคนจนสุดๆกลายเป็นเศรษฐีใหญ่"
ตอนที่5 "ถูกพ่อดูถูกถึงได้เป็นหมอ"
ตอนที่6 "ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมเป็นหมอทำแท้ง"
ตอนที่8 "อีแปะมันหด-อัศจรรย์ปาฏิหาริย์-โด่ไม่รู้ล้ม"
เรื่องสั้น ฉ.๒๔๓๐ "คำสั่งสุดท้าย" โดย ชัญวลี ศรีสุโข
ตอนที่7.."ทำไมถึงจนอย่างนี้"
สมัยที่ยังเป็นนักเรียนแพทย์ เราต้องออกไปหาประสบการณ์ตามที่ต่างๆแล้วแต่คณะจะกำหนดให้ เป็นเรื่องสนุกสนานมากที่ได้ออกไปในที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เพราะชีวิตของคนเรามันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง วิถีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน ความเป็นอยู่ก็ไม่เหมือนกัน และไม่มีใครไปกำหนดว่า คนนั้นเป็นคนชั้นต่ำชั้นสูง เป็นคนรวยคนจน คนดี คนชั่ว แต่มันแบ่งโดยตัวของมันเองทั้งสิ้น
ยังจำได้ไม่ลืม ถึงประสบการณ์ที่ครั้งหนึ่ง ที่ได้ออกไปเยี่ยมสลัม แห่งหนึ่ง ไปเห็นแล้ว ไม่เคยคิดว่าคนเราจะมีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญถึงขนาดนี้ ทางคณะได้จัดให้ดูบ้านหลังหนึ่ง เป็นห้องแบ่งให้เช่าขนาดกว้างประมาณ 6 คูณ 6 เมตร เป็นบ้านไม้หลังคามุงสังกะสี ใต้ถุนเป็นน้ำครำสกปรกมาก ส่งกลิ่นเหม็นแทบอยากอ๊วก มีแต่แมลงสาปไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ภายในห้องแบ่งให้คนเช่านอน รวม 10 คน นอนเรียงกันที่พื้น มีแต่เสื่อกับหมอนเท่านั้น 8 คน และทำเปลแขวนชักรอกขึ้นไปนอนข้างบนอีกชั้นหนึ่ง 2 คน นอนเรียงเบียดกันเหมือนหมูในเข่งที่ใส่รถบรรทุกเตรียมเอาไปเชือด ยังไงยังงั้นเลย
ไอ้ที่สำคัญคือ มันมีการผลัดกันนอน คนทำงานกลางวัน เช้าก็ต้องลุกออกไป คนทำงานกลางคืนก็จะเข้ามานอนแทน เย็นมาก็ต้องลุกไป ให้คนทำงานกลางวันมานอนแทน ผลัดเปลี่ยนกันอย่างนี้ พอดีวันนั้นที่ไปมีคนหนึ่งไม่สบายมาก ลุกไม่ไหว คนที่จะนอนแทนเขาก็มาไล่ให้ออกไป เขาจะนอน คนไม่สบายก็จำใจต้องลุกออกมานั่ง ซบกับเข่าเบียดอยู่ในห้อง ซึ่งแออัดมากๆ เราเห็นชีวิตของพวกเขาแล้ว ช่างน่าสงสารมากๆ
แล้วเราก็จำชีวิตที่ลำบากแบบที่ได้เห็นมานี้ได้ไม่ลืม คอยจะคิดถามตัวเองอยู่เรื่อยๆว่า เพราะอะไร เขาถึงจน ลำบากยากเข็ญอย่างนี้ ทำไมเราอยู่สุขสบายกว่าเขามากนัก ทำไมชีวิตคนเราถึงไม่เท่ากันทั้งๆที่เกิดมาในโลกนี้เหมือนกัน เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นคนเหมือนกัน มันควรต้องเท่ากันซิ แล้วทำไมมันต่างกันอย่างนี้ คนบางคนรวยจนล้นฟ้า บางคนจนแทบไม่มีข้าวกิน แม้แต่ลูกพ่อแม่เดียวกัน ที่เกิดมาจากที่เดียวกันที่เหมือนกันทุกอย่าง เลี้ยงดูแบบเดียวกันเปี๊ยบ แต่ก็รวยจนไม่เท่ากัน เพราะอะไร
ใครเป็นคนกำหนดให้มัน แตกต่างกันแบบนี้ ถ้าเราไม่คิดมันก็ไม่มีอะไร มีชีวิตผ่านๆไปวันๆ แล้วก็ตายไป ทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าเราคิด มันก็ทำให้อยากรู้ว่าเพราะอะไร คนเราถึงเกิดมาเป็นคนเหมือนกัน ในโลกใบเดียวกัน แต่แตกต่างกันสุดขั้วโลก เรามันคนขี้สงสัย และก็สงสัยอยู่ในใจมาตลอด ไม่เคยลืมเลย
พอได้เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ก็ไปค้นในพระไตรปิฎกบ้าง ฟังพระเทศน์บ้างเพื่อหาคำตอบให้แก่ตัวเองให้หายสงสัย จึงไปพบคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ทรงสั่งสอนไว้ว่า หนทางแห่งการได้มาของบุญ หรือ บุญกิริยาวัตถุที่สำคัญ 3 อย่าง จะมีการส่งผลดังนี้
การให้ทานแก่ผู้อื่น ทำให้มีทรัพย์สมบัติ มีบริวารสมบัติ เกิดมาจะไม่ยากจน ลำบากยากเข็ญ
การถือศีล ทำให้มีสุขภาพแข็งแรงสมบรูณ์ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ผิวพรรณผ่องใส รูปร่างหน้าตาสวยงาม อายุยืนยาว
การทำสมาธิภาวนา ทำให้มีปัญญา ฉลาด ความจำดี เรียนเก่ง
พระพุทธองค์ยังทรงบอกว่า ผลของการทำบุญนั้น ไม่มีใครจะไปกำหนดได้ว่าจะส่งผลหรือให้ผลเมื่อไหร่ จะชาตินี้หรือชาติหน้าก็บอกไม่ได้ ถึงเวลาบุญจะส่งผลของมันเอง และการทำบุญที่ถูกต้องนั้น จะต้องไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อนด้วย และให้ทำบุญเต็มที่เต็มกำลังศรัทธาของตัวเอง
เราเข้าใจแล้วว่าทำไม คน 10 คนนั้น ทำไมเขาถึงลำบากยากเข็ญ ยากจนมากๆ ทั้งๆที่เป็นคนบนโลกนี้เหมือนกับเรา ก็เพราะเขาไม่ได้สั่งสมบุญบารมี โดยเฉพาะทานบารมี ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมานั่นเอง คือทำทานมาน้อย มัวแต่ตระหนี่ ไม่ยอมให้ทานแก่ใครๆ เกิดมาเลยไม่มีทรัพย์ ทำมาหากินก็ลำบาก ไม่พบช่องทางทำมาหากินให้ร่ำรวย เพราะไม่มีทานบารมีมาส่งผล
เราพูดถึงคำสอนในศาสนาพุทธ ไม่เกี่ยวกับศาสนาอื่น ส่วนคนถือศาสนาพุทธจะเห็นแย้งก็เป็นสิทธิ์ของเขา เราเพียงแต่เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาวิเคราะห์และศึกษาดูในข้อของการทำบุญเท่านั้น ตัวเราเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์ซึ่งมีทั้งเหตุและผล และทรงเป็นผู้รู้ชัด รู้แจ้ง รู้จริง เป็นผู้ตื่น และผู้เบิกบานแล้ว ไม่มีอะไรจะมาปิดบังพระพุทธองค์ได้ในอนันตจักรวาลนี้ และทรงปราศจากกิเลสใดๆทั้งสิ้นแล้ว ส่วนเรามันก็ไอ้มนุษย์ขี้เหม็น คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง ปัญญายังมีไม่ถึง เศษเสี้ยว ของพระองค์ท่าน จะไปรู้ดีกว่าพระพุทธองค์ย่อมเป็นไปไม่ได้
By love dang: แล้วถ้าทำบุญชาตินี้เยอะๆผลบุญไปสนองเอาตอนชาติหน้าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไร แล้วไอ้คนที่สบายในชาตินี้เค้าก็ไม่รู้ว่าชาติก่อนเค้าทำบุญมาเยอะหรือเปล่า....ผมว่าถ้าจะทำบุญก็ทำบุญเพื่อความสบายใจดีกว่า
By kimeng suk: เราไม่มีทางที่จะรู้ได้เพราะเราไม่มีสิ่งวิเศษอะไรที่จะทำให้รู้ แต่พระพุทธองค์ท่านมี ท่านทรงเห็นตลอดว่า ถ้าคนเราทำแบบนี้ก็จะได้ผลแบบนี้ตามมา ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ตอบแทนแน่นอน ปลูกกล้วยก็ต้องได้กล้วยมากิน มันจะกลายเป็นได้มะม่วงมากินไม่ได้เด็ดขาด เช่นกัน คนทำทานมา ก็จะได้รับผลที่ตัวเองทำทานนั้นตอบมาแน่นอน ถ้าตามคำสอนของพระองค์ท่านแล้ว คนที่รวยก็เพราะเขาได้ทำทานบารมีมา คนที่จนก็เพราะเขาไม่ได้ทำทานบารมีมาก่อนทางที่ดีเราก็ตั้งใจสั่งสมบุญบารมีให้มากๆ ส่วนบุญจะส่งผลเมื่อไหร่อย่างไรก็แล้วแต่มันก็แล้วกัน เพราะการสั่งสมบุญบารมีก็คือการทำความดี ย่อๆก็คือ ทำทาน ถือศีล และนั่งสมาธินั่นเอง ซึ่งให้ผลดีต่อตัวเอง และต่อผู้อื่นด้วย
By love dang: ถ้าได้ทำบุญโดยที่เราไม่ต้องการผลบุญว่าจะได้หรือไม่ได้อย่างน้อยเราก็ได้ความสบายใจครับ ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้าหรอกครับ...คนที่จนแต่มีโอกาสได้ช่วยคนผมว่าอย่างน้อยความรู้สึกดีๆจะเกิดขึ้นกับตัวเค้านะครับ...ชาติก่อนกะชาติหน้ามันคือสิ่งที่มองไม่เห็นครับแม้แต่ตัวคุณยังตอบไม่ได้เลยว่ามีจริงหรือเปล่า
By kimeng suk: การทำบุญก็หมายถึงทำความดี ซึ่งดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ชีวิตคนเรา พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนให้นั่งรอนอนรอให้บุญมาส่งผล แต่ทรงให้พยายาม ขยันหมั่นเพียรเต็มที่ ถ้ามีบุญ บุญก็จะมาส่งผลให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าไม่มีบุญ ก็เสมอตัว เอาชีวิตรอดอยู่ได้พอสบายๆ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย นั่งงอมืองอตีน ขอให้บุญมาช่วย ความดีก็ไม่ทำ งานก็ไม่เอา อย่างนี้ บุญก็ไม่ช่วย จะมาส่งผลเรื่องชาตินี้ชาติหน้า เรายังไม่เคยเห็น แต่นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงไปรู้ไปเห็นมาหมดแล้ว ถึงได้เอามาบอกเรา เป็น หนทางสู่นิพพานข้อแรกของมรรคมีองค์แปด คือ สัมมาทิฏฐิ ทรงบอกว่า ทานนั้นมีผลจริง,ชาตินี้มี,ชาติหน้ามี, พ่อแม่มีบุญคุณ, สวรรค์มี, นรกมี, และอื่นๆอีก
ฉะนั้น เท่ากับ พระพุทธองค์ ทรงบอกให้รู้ว่า จะไปนิพพานได้ต้อง มี สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูกก่อน เรานับถือศาสนาพุทธ ไม่เชื่อศาสดาของเราแล้วจะไปเชื่อใคร และการไปนรกสวรรค์ก็พิสูจน์ได้โดยการทำสมาธิ จนมีอภิญญาจิต ก็จะไปรู้ไปเห็นได้ มีคนมากมายที่เขาทำได้ แต่เขาไม่มาอวดให้รู้เท่านั้น
By love dang: ผมเคยได้ยินสิ่งที่คนตายแล้วฟื้นมาเล่าเกี่ยวกับสถานที่ที่ไปพบเห็นมา ผมมีความสงสัยว่าทำไมแต่ละที่ที่เค้าไปมารู้สึกไม่เหมือนเลยสักคน คือว่าถ้าสถานที่นั้นมีจริงคนที่เคยได้เห็นได้สัมผัสมาก็ต้องเห็นเหมือนกันซิ แม้แต่คนที่นั่งสมาธิขั้นสูงก็ยังเล่าไม่เหมือนกันเลย ช่วยอธิบายให้ผมหายสงสัยหน่อยครับ...แล้วอีกอย่างผมว่าคนจะรวยจะจนมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลบุญหรอกครับมันขึ้นอยู่กับผู้ที่มีอำนาจจะให้ประชาชนของตัวเองอยู่อย่างเช่นไรจะให้อยู่แบบสบายหรือลำบากก็ได้
By kimeng suk: ภพภูมิมีดังนี้ อรูปพรหม มี 6 ชั้น รูปพรหม มี 14 ชั้น สวรรค์ มี 6 ชั้น มนุษย์ มี 211 ประเทศ (ถ้าจำผิดก็ขอโทษ) สัตว์มีหลายชนิดไม่เหมือนกัน เปรต ก็มีหลายชนิด อสุรกาย สัตว์นรก ซึ่งมีถึง 457 ขุม คนตายนั้นเขาไปเห็น ภพไหน ตรงไหนค่ะ เอาแค่เห็นภพมนุษย์ 211 ประเทศก็ต่างกันสุดหล้าฟ้าดินแล้ว การที่เราจะไปเกิดตรงไหน ก็ขึ้นอยู่กับผลบุญที่เราทำมา ถ้าเรามีบุญเราก็ได้ไปเกิดในที่ๆ ผู้ปกครองของเราเป็นคนดี ถ้าบุญน้อยก็เจอแบบที่เราไม่อยากเจอ
By love dang: แล้วคุณรู้ได้ไงว่า อรูปพรหม มี 6 ชั้น รูปพรหม มี 14 ชั้น สวรรค์ มี 6 ชั้น เปรต ก็มีหลายชนิด อสุรกาย สัตว์นรก ซึ่งมีถึง 457 ขุม ถ้าคุณบอกว่าคนที่ได้อภิญญาขั้นสูงเค้าจะไม่พูดโอ้อวดกัน ถ้าคุณนั่งทางในขั้นสูงได้ คุณช่วยบอกผมหน่อยว่างวดนี้เลขอะไร สามตัวตรงเลย หุ หุ หุ ผมถึงจะเชื่อ
By kimeng suk: นี่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ชัดเจน ไปหาอ่านดูได้ พระพุทธเจ้าทรงไปเห็นมาด้วยอำนาจอภิญญาจิตของท่านจึงเอามาเล่าให้พวกเราฟัง ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วเชื่อใครดี
By love dang: ผมอ่าน ภาษาบาลี สันสกฤต ไม่ออกครับ ไม่ใช่ไม่เชื่อนะครับ แต่บุคคลากรที่ ที่เผยแผ่ สมัยนี้ดูท่าทางเค้ายังไม่เชื่อเลยครับ มันก็เลยทำให้ผมสองจิตสองใจ อีกอย่างคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เนิ่นนานมาถึง 2,500 กว่าปี มันจะไม่มีอะไรที่ผิดเพี้ยนไปจากของเดิมเหรอครับ เราทุกคนก็ต่างเกิดไม่ทันในสมัย พระพุทธเจ้า...ไม่ได้ลบหลู่นะครับ ผมก็นับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน ... ขอกราบคารวะ
By kimeng suk: อย่าเลี่ยงบาลี พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยก็มี เป็นชุดๆ คุณอ่านได้สบายตา บุคคลากรที่เผยแพร่ทางพระพุทธศาสนาส่วนมาก เขาก็เชื่อในพระพุทธเจ้าทั้งนั้น มีแต่ไอ้พวกที่คิดว่า กูรู้ กูเก่งกว่าพระพุทธเจ้า เอาความคิดที่ตัวเองคิดมาบิดเบือนพุทธพจน์ พวกนี้เขาคิดเอาเอง ไม่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า เก่งกว่าพระองค์ ซึ่งมันเป็นแค่ความรู้จากการคิดของตัวเอง เป็นแค่สุตตมยปัญญาเท่านั้น เป็นปัญญาขั้นต้น แต่พระพุทธเจ้า ได้ความรู้มาจาก ภาวนามัตยปัญญา รู้จากการภาวนาสมาธิ ซึ่งเป็นปัญญาที่สูงสุด รู้แจ้ง รู้จริงความเป็นจริงของชีวิตในจักรวาลนี้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ได้ คำสอนของพระพุทธองค์ เป็นอกาลิโก ไม่มีกาลเวลา เพราะมันเป็นความจริงของชีวิต ที่กี่ปี กี่ชาติ มันก็จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้
By love dang: แล้วคำสอนของพระพุธเจ้าอีกหลายองค์มีคำสอนแบบเดียวกันหรือเปล่า ถ้ามีแบบเดียวกันทำไมถึงต้องมีหลายพระองค์...อีกอย่างความคิดใครความคิดมัน..แล้วคุณช่วยให้ความเห็นหน่อยว่าบุญเค้าทำกันอย่างไร ช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากถือว่าทำบุญมั๊ย หรือว่าต้องใส่บาตรนั่งสมาธิแล้วถึงได้บุญเหรอ..ผมว่าแค่เราไม่ได้เบียดเบียนใครให้เดือดร้อนไม่ทำชั่วก็ได้บุญแล้ว...ผมเรียนมาน้อยครับความคิดผมก็เหมือนกับใจคิดอะไรก็พูดแบบนั้นไม่ใช่ว่าจะตะแบงอวดรู้
By kimeng suk: พระพุทธเจ้ามีหลายพระองค์ เพราะโลกเรามีการแตกทำลาย แล้วก่อตัวขึ้นใหม่ เรียกว่า หนึ่งมหากัป บางกัปก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว บางกัปก็ไม่มี กัปของเราเรียก ภัทรกัป มีพระพุทธเจ้า ห้าพระองค์ คือ กกุสันโท โกนาคม กัสสปะ สมณโคดม ศรีอาริยเมตตรัย ยุคของเราคือองค์ที่สี่ สมณโคดม
คำสอนของพระพุทธศาสนา มันเป็นคำสอนที่มาจากความจริงของชีวิตที่ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะกัปไหนๆ ฉะนั้นคำสอนจะคล้ายกันๆ แต่ต้องมีหลายพระองค์เพราะต่างเวลากัน คนเราไม่มีอายุยืนไปฟังพระพุทธเจ้าองค์อื่นหรอก ตายไปก่อน องค์ใหม่มาก็สอนคนที่เกิดใหม่ยุคนั้น
การทำบุญมีได้ 10 วิธี (บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ หรือทางมาหรือการทำให้ได้แห่งบุญ 10 อย่าง) ได้แก่ การทำทาน การถือศีล การนั่งสมาธิ การประพฤติตนอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ การขวนขวายทำในสิ่งที่ชอบ การให้ส่วนบุญ การอนุโมทนาบุญ การฟังธรรม การแสดงธรรม การทำความเห็นให้ตรง (เข้าใจเรื่องบาปบุญคุณโทษ) การไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำชั่ว เป็นการถือศีล อย่างศีลห้า ไม่ฆ่า ไม่ลักขโมย ไม่ผิดลูกเมียเขา ไม่โกหก ไม่ดื่มสุรา ก็เป็นการไม่ทำชั่วพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ได้บุญในข้อสองอยู่แล้ว การทำบุญคงจะเข้าใจแล้วนะว่า ไม่ได้หมายถึงการทำทาน การให้สิ่งของอย่างที่เข้าใจอย่างเดียว มีตั้ง10 อย่างค่ะ แต่คนไทยเข้าใจผิดว่าหมายถึงการให้ทานเท่านั้น
By sri123: เพราะธรรมชาติน่ะ คนเราถึงแตกต่าง ระหว่าง จนเพราะไม่มี กับ จนเพราะไม่พอ อะไรคือความจน? ความรวยก็เหมือนกัน รวยเพราะมี หรือว่ารวยเพราะพอ คิดว่า ความเลวทั้งหลายทั้งปวง ก็เกิดเพราะความจนที่ไม่รู้จักพอนี่ละค่ะ ส่วนตัวคิดว่า เมื่อเกิดมา มีสมอง มีปัญญา มีมานะ รู้จักคำว่าพอ มีความสุขโดยง่าย แค่นี้ก็ถือว่ามีบุญแล้วค่ะ
By kimeng suk: สงสัยค่ะ คนที่เก่ง มีสมอง มีทุกอย่างแบบที่คุณว่า ทำไมไปเป็นลูกจ้างเขา ทำไมไม่เป็นเจ้าของกิจการ เช่น คนเรียนสูงเก่งๆทั้งนั้น ก็ไปเป็นลูกจ้างแบ็งค์หนึ่ง ซึ่งคนก่อตั้ง มาจากเมืองจีน ไม่มีความรู้เลย หาบตะเข่งหาซื้อของเก่า แบบตะโกนขวดมาขาย ไปรู้จักกับนักการเมืองใหญ่ ซึ่งแนะนำและหาทุนให้ตั้งแบ็งค์
อย่างที่บ้านเตี่ยมาจากเมืองจีน อ่านภาษาไทยไม่ออก จนมากๆ แต่เตี่ยโชคดี ทำให้มีเงินมาลงทุนจากการที่ไม่ถูกระเบิดแพบรรทุกสินค้าตอนสงคราม กับไม่ถูกโจรปล้นเพราะโจรมองไม่เห็นเตี่ย เตี่ยมีลูกน้องเรียนเก่ง เรียนมาสูงๆหลายคน เพราะอะไรทำให้เตี่ยโชคดี เพราะอะไรพวกนี้ถึงไม่ได้เป็นเถ้าแก่ เป็นแค่ลูกจ้าง ทั้งๆที่เก่งๆทั้งนั้น หนึ่งสมองสองมือนั้นจำเป็น นั่นคือเก่ง แต่ภาษิตจีน บอกว่า เฮงดีกว่าเก่ง ค่ะ เฮงก็คือบุญ เจ้าของบ้านจัดสรรที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทยตอนนี้ บอกว่า เขารู้แล้วว่า ต้องมีบุญมาก่อน แล้วเก่งถึงจะส่งเสริมบุญนั้น ถ้าไม่มีบุญ เก่งอย่างไร ก็ไม่รุ่ง อย่างมากก็เสมอตัว
ความจนก็คือการไม่มีจะกิน ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีเงินรักษาตัว นั้นคือความจนพื้นฐาน ซึ่งคนไทยเราจนแบบนี้มากจริงๆ ส่วนพวกที่มีปัจจัยพื้นฐานครบถ้วนพออยู่ได้ แต่ก็ยังไม่พอใจ อยากได้นั่นได้นี่ อยากได้รถ เสื้อผ้าสวยหรู นั่นไม่เรียกว่าจน นั่นเรียกว่าความอยาก เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง
By sri123: คือเห็นต่างเรื่องการทำบุญ คิดว่าการทำบุญ ทำทาน คือพุทธอุบายที่สอนให้คนละ ละวางน่ะค่ะ เพราะสาระหลักของศาสนา คือการสอนให้คนทำดี ละชั่ว ทำจิตใจให้สะอาด นั่นก็คือการละจากกิเลส อันทำให้เกิดทุกข์ทั้งปวง ถ้าการทำบุญเพื่อมุ่งหวังความรวย บุญในที่นี้คงจะไม่ใช่สุข เพราะทำแล้วมัวแต่คิด เพื่อความรวยในชาติหน้า มันก็เกิดทุกข์แล้วไง กิเลสทำให้ใจเศร้าหมอง แบบนั้นไม่อยากเขียนเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะความคิดคนเราต่างกัน แต่ก็ต้องเขียนเมื่ออ่านที่คุณหมอตอบ "ทำไมคนที่มีความสามารถ ถึงไม่ทำกิจการของตัวเอง ถึงต้องเป็นลูกจ้างเขา" เป็นลูกจ้าง ไม่ใช่ว่าจะไม่ดี ไม่ต้องรับความเสี่ยงอะไร ทำงานให้ได้ตามหน้าที่ .. ไม่ต้องคิดไรมากกว่างานในหน้าที่ตัวเอง แล้วก็ทำให้ดีที่สุด ความเสี่ยงมีน้อยกว่าเจ้าของกิจการเยอะค่ะ จนหรือรวย อยู่ที่ว่า เราสุขใจกับคำว่ามีแค่ไหน รวยไม่รู้จักพอ ก็ไม่ไกลกว่าคำว่าจน ใช่ไหมคะ...
By kimeng suk: ชีวิตในชาติหน้า ก็เหมือนชีวิตในชาตินี้ ซึ่งตอนหนุ่มสาว ก็ต้องขยันขันแข็ง หาเงินสะสมฝากแบ็งค์ไว้ใช้ตอนแก่ พอแก่ก็ไปเบิกใช้ได้ ถ้าไม่หาไว้ เราก็เบิกใช้ไม่ได้ เพราะไม่มี ชีวิตในชาติหน้าหลังความตายของเรา ต้องเป็นไปตามกรรมที่ตัวเองได้ทำมาตอนมีชีวิต ถ้าทำบุญไว้มากก่อนตาย คือมีบุญสั่งสมฝากธนาคารบุญไว้มาก ชีวิตหลังความตายก็ไปดี เพราะมีบุญให้เบิกใช้ ทำชั่วไว้ มีแต่บาป ตายไปบาปก็ส่งผลให้ไปไม่ดี จะเอาบุญมาช่วยก็ไม่มีเพราะไม่ได้ทำไว้
การทำบุญทำความดี ถึงจะหวังในบุญหรือไม่หวังในบุญ บุญก็จะส่งผลด้วยตัวของบุญเอง ไม่มีใครห้ามได้ มากหรือน้อยตามความบริสุทธิ์ของใจ หวังในบุญมาก ก็ได้บุญน้อยลง แต่ก็ยังได้บุญ ไม่หวังเลย ใจบริสุทธิ์ก็ได้บุญมากขึ้น แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ทรงหวังในบุญที่ทำ เช่นทรงเสียสละลูกเลือดในอกของตัว ให้ชูซก ก็เพื่อหวังว่าผลบุญนี้จะทรงให้บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ในบางชาติก็ทรงอธิษฐานหลังทำบุญ ว่าขอให้บุญนั้นส่งผลให้ได้เป็นนั้นเป็นนี่ แล้วเราคนธรรมดา ถ้าทำบุญ ทำความดี แล้วตั้งจิตอธิษฐาน ให้บุญส่งผลตามใจปรารถนา มันเป็นเรื่องเสียหายอย่างไร เขาทำบุญทำความดี น่าจะดีกว่าพวกที่ไม่หวังในผลบุญ แต่ก็ไม่ทำบุญนะ ทำแล้วเขาก็สบายใจที่ได้ทำบุญ ใจของเขาก็ดีขึ้นกว่าพวกที่ไม่ทำนะ
สาระของศาสนาก็คือ ทำความดี นั่นก็คือการทำบุญ เพราะบุญคือผลของการกระทำความดี ถ้าไม่ทำความดีก็จะไม่มีบุญ ละชั่ว ก็คือการถือศีล เช่นศีลห้า ที่ใครทำตามก็ไม่ได้ทำความชั่วไปห้าข้อแล้ว ทำจิตใจให้สะอาด นั่นก็คือการ ทำสมาธิภาวนา เพื่อลดกิเลสในตัวลง เป็นหนทางที่จะดำเนินเข้าสู่พระนิพพานทางเดียวเท่านั้น สรุปแล้วก็คือ สาระอันแรกของศาสนาก็คือ การทำบุญ นั่นเอง
By ขุนริน สุราไว: ความจน ความรวย เขาวัดกันที่ตรงไหนครับ บางคนมีเงินเป็นสิบล้านเขายังบอกว่าเขาจนอยู่เลย บางคนถูกหวยแค่ยี่สิบบาทยังบอกว่าตัวเองรวยเลย ผมว่ามันอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนมากกว่านะ
By kimeng suk: อย่างที่ตอบข้างบน คนจนคือคนที่หาไม่พอสำหรับปัจจัยพื้นฐาน คือ อาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ส่วนคนที่มีปัจจัยพื้นฐานครบ พออยู่ได้ แต่ยังอยากได้นั่นได้นี่ ไม่มีสิ้นสุดเขา ไม่เรียกว่าคนจน คนจนถ้าหาก ชาตินี้ รู้จักทำบุญทำทานสะสมเป็นเสบียงไป ภพชาติต่อไปก็จะมีโอกาสเกิดมาไม่จน ส่วนชาตินี้ ถ้าชาติที่แล้วไม่สั่งสมทานบารมีมา ชาตินี้ขี้เกียจอีก ก็จนแน่ๆ แต่ถ้าขยัน มุมานะ ก็อยู่ได้ มีกินมีใช้ ไม่ยากจน แต่ก็ไม่รวย เพราะไม่มีทานบารมีมาส่งเสริม
By รากแก้ว: เป็นกุศโลบายให้ทุกคนทำดีเพื่อความสุขสงบในสังคม ถ้าทุกคนเชื่อและทำตามก็ดีเยี่ยมมีความสุข แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ มันมีผู้คิดต่างไป...ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วแล้วได้ดีมีทั่วไป.. ทำชั่วเลวทรามตั้งแต่เกิดผิดศีลผิดธรรมทุกข้อ เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ บางครอบครัวเลวทั้งตระกูล ยังรวยจนล้นฟ้ามีชีวิตเสพสุขเหมือนเทวดา..คนจึงไม่อยากทำดีไงล่ะ เพราะชีวิตที่เห็นจริงมันไม่ใช่ แต่อดทนทำดีต่อไปเพราะหลอกตนเองว่าชาติหน้ามีจริง เวรกรรมมีจริง..
By kimeng suk: ตะก่อนนี้ก็เคยคิดเช่นนี้ แต่เมื่อศึกษาพุทธศาสนา ลึกลงไป ก็เข้าใจคำตอบ ซึ่งสิ่งที่จะตอบนี้ อยู่ในพระไตรปิฎกทั้งสิ้น
คนที่ทำชั่วเลวทราม โกงกินเห็นกันชัดๆ ยังรวยล้นฟ้ามีหน้ามีตา อย่างนักการเมืองของเรานั้นก็เพราะผลบุญที่เขาได้ทำมาในอดีตชาติ ยังส่งผลต่อชีวิตของเขาไม่เสร็จ คือบุญของเขายังไม่หมด มันจึงส่งผลทำให้เขาทำอะไรคิดอะไรก็สำเร็จ ถ้าเขาเคยทำทานมาในชาติก่อนมาก เขาก็จะร่ำรวย แต่เมื่อ บุญหมด ซึ่งอาจจะหมดในชาตินี้ ก็จะทำให้เขาหมดเนื้อหมดตัว ยากจนลงให้เราทันเห็น แต่ถ้าเขามีบุญมากจากชาติก่อนๆ บุญจะส่งผลจนตายจากเราไม่ทันเห็น แต่เมื่อตายไป เขาก็จะได้รับผลของกรรมที่ทำไว้แน่นอน อย่างนักการเมืองคนหนึ่ง มีชื่อเสียงมาก ร่ำรวยล้นฟ้า พอบุญหมด ถูกลูกตัวเองแท้ๆ ฆ่าตาย หรือเราก็เห็นมีหลายคน ร่ำรวย อยู่ดีๆ บุญหมด ก็หมดเนื้อหมดตัว
By ลุงพร: แนวคิดของคุณหมอ ลึก และคู่ประกบไปกับพระธรรมคำสอน ปัญญา ทำให้ หายทุกข์ได้ ลูกครูบ้านนอก ยากจน แต่พ่อสอนเขาทุกวัน เขาเรียนเก่งมาก เป็นแพทย์ ทุกวันนี้ เขาสร้างบ้านให้พ่อแม่ อยู่สุขสบาย เหตุผลที่ง่ายๆคือ ปัญญา หรือ การศึกษาครับ แก้ยากจนหรือทุกข์ได้ ผมพยายามจะเสริมนะครับ คุณหมอ ไม่แย้งนะครับ ที่หมอพูด ผมเห็นด้วยหมดเลย แต่เพื่อสรุปให้ชัด ง่ายๆ
By kimeng suk: คนนี้เขาต้องทำสมาธิภาวนามาในชาติก่อน ทำให้เกิดมีปัญญาในชาตินี้ จึงสามารถเรียนหมอได้ ก็เหมือนที่บ้านมีลูก 12 คน แต่มีคนเดียวได้เรียนหมอ ทั้งๆที่ก็เกิดมาจากพ่อแม่เป้าหลอมเดียวกัน คนอื่นๆก็อยากจะเรียนหมอ แต่ไปไม่ถึงสักคน ซึ่งอดีตชาติเราต้องทำสมาธิภาวนามาก่อน ชาตินี้เราก็เป็นคนแรกในบ้านที่เข้าวัด ทำสมาธิ ทุกวันนี้ก็ทำอยู่วันละสองเวลา
By REDSuperman: ไม่รู้สินะว่า ชาติหน้า จะได้เกิดหรือเปล่า ไม่ได้นับถือพุทธ แต่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาบ้าง สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ เราทำบุญ ทำทานก็ต่อเมื่ออยากทำ ไม่ชอบให้ใครมาบอกว่า วันนี้ต้องทำบุญ ทำทานนะ จะได้บุญมากกว่าวันธรรมดา เราไม่เชื่อ เราทำเพราะใจอยากทำใจเราก็จะเป็นสุข ทำมากทำน้อย บ่อย หรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น มันอยู่ที่ความสุขใจหลังการทำมากกว่า นั้นแหละบุญแหละ
By kimeng suk: การทำบุญ จะได้บุญ ขึ้นอยู่กับ ตั้งใจและมีเจตนาที่จะทำ ได้บุญหนึ่งส่วน ลงมือทำ ก็ได้บุญอีกหนึ่งส่วน ตามระลึกคิดถึงการทำบุญนั้น ก็ได้บุญอีกหนึ่งส่วน ยิ่งปลื้มปีติ คิดถึงบุญนั้นบ่อยๆ ก็จะยิ่งได้บุญมากขึ้น การทำทานบุญที่ได้มาจากเจตนาที่จะให้ทานบริสุทธิ์ ของที่จะให้ทานนั้นบริสุทธิ์ ผู้รับทานของเราบริสุทธิ์ ยิ่งใจของท่านบริสุทธิ์มีกิเลสน้อยลงเท่าไหร่ ผู้ให้ทานก็จะได้บุญมากขึ้นด้วย
By หนูฮัก: มนุษย์ 10 คน ที่ท่านคุณหมอ kimeng suk ไปพบนอนกองกันในห้อง พื้นที่ 6x6 เมตร ในสลัมนั้น ภาวนาขอให้มนุษย์ทั้ง 10 คนนั้นจงเป็นคนที่ขี้เกียจ และเป็นผู้ที่มีปัญญาโง่เง่าเถิด มันขี้เกียจ ไม่ขยันเรียน มันไม่แสวงหาโรงเรียนดีๆ ครูอาจารย์ดีๆสอนมันจึงโง่ มันเป็นเรื่องของบาปบุญคุณโทษ มันเป็นเรื่องของผลกรรม ที่พวกเขาได้กระทำมา มันไม่เกี่ยวกับสังคม มันไม่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง มันไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
By ภวังค์: ลูกเศรษฐีมหาเศรษฐีที่เกิดมาเขาไม่ได้สร้างทรัพย์ด้วยตัวเองเลยทำไมเขาจึงเสวยผลความสุขนั้นๆได้เล่า ก็ในเมื่อความจริงเราไม่ได้หาทรัพย์นั้นมาด้วยตัวเองแล้วเราจะไปเอาทรัพย์ผู้อื่นมาใช้เสวยสุขได้อย่างไร
By kimeng suk: ลูกเศรษฐีเกิดมาก็มีทรัพย์ ก็เพราะเขา ได้ทำทานบารมีมาในชาติก่อนๆ เมื่อเขาเกิดบุญก็ส่งผลให้ มาเกิดกับพ่อแม่ที่มีทรัพย์ เมื่อเขาเกิดมาเป็นลูก ก็มีสิทธิ์ใช้ทรัพย์ของพ่อแม่ ตามกฎของโลกนี้ใช่ไหม ถ้าเขาไม่ได้สร้างทานบารมีมาก่อน บุญก็จะไม่ส่งผลให้มาเกิดกับพ่อแม่เศรษฐีเช่นนี้ แสดงว่าเขาก็ทำมาถึงจะได้ทรัพย์ใช่ไหม ส่วนบุญจะส่งไปเกิดกับเศรษฐีคนไหน มันเป็นเรื่องของบุญจัดสรร
By อินทรีย์: ทำบุญชาตินี้เพื่อให้สบายชาติหน้า ถ้าเป็นจริง ป่านนี้คนไทยเป็นเศรษฐีเกือบทั้งประเทศแล้วครับ เพราะเมืองไทยนับถือศาสนาพุทธมาแต่โบราณ ทำบุญกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษมาบุกเบิกประเทศแล้ว แต่เกิดมาก็ยังจนชาติแล้วชาติเล่า ก็ยังทำบุญกันไม่เลิก แต่ไหงมันจนกันทั้งประเทศมีรวยเฉพาะที่สามารถเอาเปรียบคนอื่นอยู่ไม่กี่คน
By kimeng suk: เราทำบุญกันมากจริงหรือ มีกี่คนที่ทำบุญทำทาน เอาแค่ตักบาตรพระ ทั้งถนนใส่กันกี่บ้าน แล้วมันจะรวยกันทั้งประเทศได้อย่างไร คนไทยรวยๆก็มีเยอะแยะที่เขาไม่ได้โกงประเทศชาติมา พวกนี้ก็รวยเพราะบุญของเขาที่ทำมามาก ส่วนที่ยังมีคนจนเยอะ ก็เพราะ มีคนไม่ทำบุญ หรือทำบุญน้อย มาเกิดมากกว่าคนที่ทำบุญ พระพุทธเจ้า ทรงสอนว่า การทำทานจะส่งผลให้มีทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน คำสอนนี้เป็นความจริงตลอดเวลา (ไม่ได้ว่าเอาเองนะ)
By อินทรีย์: แสดงว่ายังไม่เคยสัมผัสกับเมืองไทยแท้จริง คนไทยเขาทำบุญสุนทานกันทั้งประเทศครับ ยิ่งในชนบท พวกเขาทำบุญทั้งปีทั้งชาติ คนทำบุญในเมืองไทยมีมากกว่าคนที่ไม่ทำบุญครับ ขนาดไม่มีกินยังต้องทำบุญ เพราะการทำบุญมันฝังอยู่ในจิตใจของคนไทย ทำไมยังจนกันอยู่ละครับ
By kimeng suk: ที่เห็นทำบุญกันนะกี่วันทำครั้งหนึ่ง บางคนก็ทำแค่วันสำคัญๆ ครอบครัวหนึ่งไปทำบุญกี่คน เคยไปตามวัดต่างๆบ่อยๆเวลามีงาน งานใหญ่ๆมากันเต็มวัด เพื่อมาดูมโหรสพ ไม่เรียกว่ามาทำบุญ บางคนก็ใส่บาตรทุกวันแต่พวกนี้ ลองนับดูทั้งหมู่บ้านทำบุญทุกวันมีกี่คน
คนทำบุญมากเขาก็ได้ดีไปตามส่วนของเขา แต่มีน้อยกว่าคนทำบ้างไม่ทำบ้างหรือไม่ทำเลย ฉะนั้นในหมู่บ้าน เราถึงเห็นคนรวยซึ่งมาจากคนที่ทำบุญมาก น้อยกว่าคนพอมีหรือคนจน ทำบุญก็ย่อมได้บุญมากน้อยตามที่ตัวเองทำ แต่ขณะเดียวกัน ทุกวันที่เรามีชีวิตอยู่ แม้จะตายไปแล้ว เราก็ใช้บุญอยู่ทุกขณะจิต บุญก็เหมือนน้ำมัน ใช้ไปๆก็หมด ทำบุญไว้ไม่มาก มันก็หมดไป เมื่อบุญส่งผลก็เหลือเท่าที่เราเป็นเราเห็น
ส่วนต่างชาติ พวกฝรั่ง คุณอย่าคิดว่าเขาไม่ทำบุญนะ เขาทำทานสงเคราะห์คนกัน ไม่ได้ทำกับพระ ใครนับถือศาสนาไหน ถ้าเสียสละทรัพย์ออกมาก็ได้บุญแล้ว บุญไม่จำกัดชาติภาษา ฝรั่งเขาทำทานมากนะ เขาทำสม่ำเสมอ โดยที่ตัดออกมาจากเงินเดือนเลย ใครเป็นสมาชิกของโบสถ์ไหน ก็จะไปทำสัญญาให้โบสถ์ตัด 10%ของเงินเดือนจากต้นสังกัดที่ทำงานเลย แต่เขาไม่มาทำตามกำลังศรัทธาแบบบ้านเรา เวลาไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์เขาก็บริจาคอีก ฝรั่งบริจาคทำบุญให้โบสถ์มากกว่าคนไทยนะ เขาไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ คนไทยไม่ค่อยไปวัด ยิ่งเดี๋ยวนี้ ยิ่งแทบไม่ไปกันเลย
By อินทรีย์: โบสถ์เขาก็ต้องมีค่าใช้จ่ายนะครับ ค่าน้ำค่าไฟแถมเมืองนอกคงแพงบรรลัย ค่าตัวบาทหลวง สาธุคุณที่มาเทศน์ ค่าจ้างนักเปียโน ค่ากินค่าอยู่บาทหลวงจิปาถะ
มีเรื่องเล่าว่า มีชายคนหนึ่งท่าทางภูมิฐานเข้าไปคุยกะบาทหลวงผู้ดูแลโบสถ์ หลังจากนั้น หลวงพ่อก็ออกมาเทศน์ตามปกติ ชาวบ้านก็สงสัยว่าชายคนดังกล่าวมาพูดอะไรก็หลวงพ่อ หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่า เขาเป็นเจ้าของบริษัทน้ำอัดลม จะมาเสนอเงินให้ปีละล้าน แต่หลวงพ่อปฏิเสธเขาไป ชาวบ้านต่างสงสัยทำไมหลวงพ่อไม่ยอมรับ หลวงพ่อก็บอกว่า "มันให้หลวงพ่อ เปลี่ยนคำลงท้ายตอนเทศน์จบ จากอาเมน เป็น ต้องโค๊กซิ น่ะโยม"
By kimeng suk: วัดก็ต้องมีค่าใช้จ่ายนะค่ะ ค่าน้ำค่าไฟก็มีค่ะ แต่ของไทยใช้วิธีบอกบุญ ให้ทำตามกำลังศรัทธา ไม่ศรัทธาก็ไม่ต้องทำ ฝรั่งหักบัญชี กันเบี้ยวเลย สัญญาแล้วต้องทำ พี่เขยไปเป็นคริสต์ เล่าว่า เขาเล่นถามการสมัครใจบริจาค ต่อหน้าคนเยอะๆ ไม่กล้าปฏิเสธ 10%ของเงินเดือนทุกเดือน เยอะนะ คนสมัครใจจริงๆจะมีกี่คนสงสัยอยู่
By ภวังค์: เมื่อท่านประกอบอาชีพเลี้ยงตัวกันแล้ว ทำการงานที่ดีไม่ใช่จี้ปล้นโกงเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ชีวิตท่านมีสุขดีมิใช่หรือ ทรัพย์ที่ได้มากน้อยแตกต่างกันตามกำลังกาย กำลังสติปัญญา ใช้จ่ายไปในแต่ละวันมากน้อยต่างกันตามกำลังของตัว ที่เหลือฝากเก็บไว้ที่ธนาคาร ทำเช่นนี้จนตลอดชีวิต วันที่เลยวัยทำงาน เงินทองที่เก็บงำไว้ก็นำออกมาใช้เมื่อมีความต้องการใช้ เปรียบอย่างนี้เหมือนคนที่ทำบุญทำทานมาในอดีตทุกภพทุกชาติ เมื่อมาชาตินี้บุญที่เคยทำไว้ย่อมมาส่งผลให้ชีวิตในชาตินี้มีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนเช่นเดียวกับการถอนเงินที่ฝากไว้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
ทรัพย์นั้นหามาได้ด้วยตัวเองอย่างบริสุทธิ์มีมากจนร่ำรวยทรัพย์นั้นเกิดจากความเพียรในปัจจุบันและผลของบุญในอดีตที่ทำมาก่อน ทรัพย์ที่คนอื่นศรัทธาแล้วทำบุญให้ทางวัด ผู้ปกครองวัดย่อมใช้ทรัพย์นั้นได้เมื่อทำด้วยความถูกต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม
By ลุงพร: คนที่ไม่เผชิญเคราะห์กรรมหนักๆ มักไม่รู้จัก การทำประกันสุขภาพ ถ้าไม่เคย อัดกับสิบล้อ ยุบครึ่งคัน มักไม่ยอมทำ ประกันชั้น1 คนที่ไม่เฉียดตาย ต้องนอนโรงบาลสักเดือนเต็ม มักไม่เข้าใจ การเข้าวัดทำบุญ ลองตรองดูนะครับ มันจะเข้าใจเองแหละ พอท่านเจอกับตัวเอง เชื่อผมเถอะ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี การไปวัดทำบุญ เป็นสิ่งดี วัดใด ไม่สำคัญดอก ทำไปเถอะ ครับ ได้บุญ