หลังจากถ่ายภาพจอประสาทตาของผมเสร็จ คุณหมออุดมพลิกแฟ้มประวัติการรักษาของผม เริ่มอ่านตั้งแต่แผ่นแรกจนถึงแผ่นสุดท้ายแล้วเขียนข้อความเพิ่มลงไป 2-3 บรรทัด แล้วเงยหน้ามองผมซึ่งเป็นคนไข้ลำดับสุดท้ายของวันนั้น
“จอประสาทตาทั้งสองข้างของคุณธนวุฒิดีเยี่ยม...ยังแจ๋ว”
ผมซักถามข้อสงสัยอีก 2-3 ข้อ และได้รับคำตอบคำอธิบายจนกระจ่าง
“อายุ 64 จอประสาทตาเยี่ยมอย่างนี้ อยู่ได้อีกนานครับ” คุณหมออุดมมองผมแล้วพูดยิ้มๆทิ้งท้ายเป็นนัยๆ “คนสุดท้ายของวันนี้...”
อิอิ...แล้วอีก 2-3 วันต่อมา ผมก็ได้รับทราบข่าวดีตำแหน่งใหม่ของคุณหมอ...
ผู้อำนวยการสถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
โรคจอประสาทตาเสื่อม...
จอประสาทตาอยู่ที่ไหน?
โดยทั่วไปจอประสาทตามักหมายถึง retina ส่วนจุดรับภาพหรือจุดศูนย์กลางรับภาพชัดจะหมายถึง macula ซึ่งอยู่ส่วนหลังของดวงตา ทำหน้าที่รับแสงและส่งออกไปยังสมองในรูปของสัญญาณไฟฟ้า ไปทางกระแสประสาท ทำให้เราเห็นภาพได้
โรคจอประสาทตาเสื่อมคืออะไร?
โรคจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่มีความผิดปกติ เกิดขึ้นในบริเวณจุดศูนย์กลางรับภาพของจอประสาทตา โรคนี้มักพบได้มากในผู้สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จึงเรียกว่า Age-related macular degeneration (AMD)
ในผู้ป่วยบางราย การเสื่อมของจอประสาทตา เกิดขึ้นอย่างช้าๆ จนผู้ป่วยอาจไม่ทันสังเกตเห็น ในขณะที่ บางรายอาจเกิดการเสื่อมของจอประสาทตาอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามโรคนี้จะทำให้สูญเสียการมองเห็นโดยเฉพาะภาพตรงกลาง แต่ผู้ที่เป็นจะยังสามารถมองเห็นทางด้านขอบข้างของภาพได้อยู่ เช่น มองเห็นคน แต่ส่วนของใบหน้าเบลอมองเห็น ไม่ชัด ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนี้ยังคงสามารถ ช่วยเหลือตัวเองได้ แต่อาจทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น อ่านหนังสือ เย็บผ้า ได้ลำบาก
โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่
1. แบบแห้ง (Dry AMD) พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการเสื่อมสลายและบางลงของจุดศูนย์กลางรับภาพของจอประสาทตา (Macula) จากการเสื่อมตามอายุ (Aging) ทำให้เห็นเป็น ภาพเบลอ ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป จอประสาทตาทำงานได้แย่ลง การมองเห็นก็อาจจะเสื่อมลงเรื่อยๆ
2. แบบเปียก (Wet AMD) สาเหตุเกิดจากการที่มีเส้นเลือดที่ผิดปกติงอกอยู่บริเวณใต้จอประสาทตา เส้นเลือดเหล่านี้แตกง่าย ทำให้เกิดเลือดและของเหลวที่อยู่ภายใน ไหลซึมออกมา ทำให้จุดกลางรับภาพบวม ผู้ที่เป็นจะเริ่มมองเห็นภาพตรงกลางบิดเบี้ยว ต่อมาอาจเกิดการทำลายของจอประสาทตาอย่างรวดเร็ว เมื่อเซลล์ประสาทตาตายผู้ป่วยจะสูญเสียการมองเห็น โรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดนี้ทำให้ เกิดการสูญเสียการมองเห็น อย่าง รวดเร็ว และมีความรุนแรงมากกว่าแบบแห้ง (Dry AMD)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
พบว่ามีหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ เช่น คนที่มีสายตาสั้นมากๆ หรือคนที่เป็นโรคติดเชื้อบางอย่าง แต่สาเหตุส่วนใหญ่แล้วมักพบในผู้สูงอายุ จึงทำให้เชื่อว่าเป็นกระบวนการเสื่อมสภาพของร่างกายหรือที่เรียกว่า aging เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม (Aged related macula degeneration) ได้แก่
*อายุ จอประสาทตาเสื่อมพบได้บ่อยขึ้นในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
*พันธุกรรม แพทย์แนะนำให้ผู้ที่มีประวัติครอบครัวหรือญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ เข้ารับการตรวจเช็คจอประสาทตาทุก 2 ปี
*เชื้อชาติและเพศ พบอุบัติการณ์ของโรคจอประสาทตาเสื่อมมากในคนผิวขาว เพศหญิง และอายุมากกว่า 60 ปี
*บุหรี่ มีการศึกษาพบว่าการสูบบุหรี่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคอย่างชัดเจน
*ความดันโลหิตสูง คนไข้ที่ต้องรับประทานยาลดความดันเลือด มีระดับของไขมันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง และระดับแคโรทีนอยด์ในเลือดต่ำ มีความเสี่ยงสูงมากต่อการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD)
*วัยหมดประจำเดือน พบว่าผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนที่ไม่ได้รับประทานยาฮอร์โมนเอสโตรเจน จัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
*นักวิจัยยังคงเชื่ออีกว่าการขาดวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการต้านอนุมูล-อิสระ เช่น วิตามินซีและอี หรือเกลือแร่ที่มีส่วนสำคัญในการมองเห็น อาทิเช่น แคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ลูทีน (Lutein) และซีแซนเทียม (Zeaxanthium) ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่เพิ่ม ความเสี่ยงต่อการเกิด AMD ได้อีกด้วย
อาการของ AMD เป็นอย่างไร
โรคจอประสาทตาเสื่อม อาจมีอาการแตกต่างกันในผู้ที่เป็นแต่ละรายและยากที่จะสังเกตความผิดปกติในช่วงแรก โดยเฉพาะถ้าตาอีกข้างหนึ่งยังมองเห็นได้ดี คนไข้อาจไม่สังเกตถึงความผิดปกติไปหลายปี แต่ถ้ามีจอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นในตาทั้ง 2 ข้าง คนไข้จะรู้สึกถึงความผิดปรกติในการมองเห็นอย่างรวดเร็ว
อาการส่วนใหญ่ของ Dry AMD คือ การมองเห็นภาพเบลอ ทำให้เห็นหน้าคนไม่ชัด จำหน้าบุคคลไม่ได้ อาจทำให้ต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการทำกิจกรรมต่างๆ หรือผู้ป่วยบางคนอาจพบมีอาการผิดปกติโดยสังเกตมีตามัวลงเพียงเล็กน้อย
อาการเริ่มแรกของ Wet AMD คือ เริ่มเห็นเส้นตรงเป็นเส้นโค้ง บิดเบี้ยว เห็นภาพสีซีดจางกว่าปกติ และอาจเห็นเป็นจุดมืดดำที่ตรงกลาง
อาการเริ่มแรกที่อาจนำไปสู่การเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ได้แก่
มองเห็นภาพเบลอ
เห็นเส้นตรงเป็นเส้นโค้ง
ภาพมีสีซีดจางไป
อ่านหนังสือได้ลำบาก
แยกแยะหน้าคนได้ยาก
เห็นเป็นจุดดำที่บริเวณศูนย์กลางของภาพ
การดูแลตัวเอง เมื่อเป็นจอประสาทตาเสื่อม
ถึงแม้โรคจอประสาทตาเสื่อมจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การตรวจพบแต่เนิ่นๆ และรักษาอย่างทันท่วงที จะช่วยป้องกันการเสื่อมไม่ให้รุนแรงมากยิ่งขึ้นได้ ดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้น สิ่งที่ท่านควรทำได้แก่
1. หมั่นตรวจสุขภาพดวงตาเป็นประจำสม่ำเสมอ แม้วินิจฉัยว่าเป็นจอประสาทตาเสื่อม เพราะในบางรายที่เป็น Dry AMD อาจพัฒนากลายเป็น Wet AMD ดังนั้นเมื่อพบอาการผิดปกติที่เป็นสัญญาณควรรีบปรึกษาแพทย์
2. หากมีภาวะจอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นแล้ว ท่านควรพยายามปรับตัวกับภาวะสายตาเลือนรางให้ได้ และฝึกใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ช่วยการมองเห็น (Low vision aid) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้สามารถใช้การมองเห็นที่เหลืออยู่ ดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างดีที่สุด